จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เมื่อศรัทธาติดลมบน (อีกครั้ง) สำหรับฟุตบอล "ทีมชาติไทย"

ใครที่มีโอกาสได้ดูการถ่ายทอดสดเป็นระยะๆของบรรดาโทรทัศน์ช่องต่างๆ คงจะได้เห็นถึงบรรยากาศที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขตลอดเวลานับตั้งแต่ทีมฟุตบอลชาติไทย ชุดแชมป์ AFF SUZUKI CUP 2014 ก้าวเท้าเหยียบลงบนผืนแผ่นดินแม่อีกครั้ง ณ.ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557...รถบัสเปิดประทุนก็ได้นำบรรดาเหล่าฮีโร่ทั้งหลายเคลื่อนขบวนผ่านถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อมุ่งหน้าไปสิ้นสุดที่ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ ตลอดเส้นทางที่ขบวนวีระบุรุษนักฟุตบอลผ่านไปจะมีประชาชนที่เป็นแฟนฟุตบอลทั้งขาประจำ และขาจร ซึ่งกลัวตกกระแสยืนรอโบกไม้โบกมือให้การต้อนรับอยู่เป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของทีมชาติไทย...แล้วอะไรเล่าที่เป็นตัวจุดประกายแห่งศรัทธาในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่รูปแบบการเล่นอย่างมีสไตล์รวมไปถึงการเก็บอารมณ์ได้อย่างดีเลิศแม้ว่านักเตะแต่ละคนจะโดนคู่ต่อสู้เตะติดดาบใส่ตลอดเวลาเลยก็ตาม...การที่ประเทศไทยต้องรอคอยแชมป์รายการนี้มาถึง 12 ปีเต็ม มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์พิเศษนี้ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าใครได้ติดตามทีมฟุตบอลชุดนี้ซึ่งอยู่ภายใต้ผู้ฝึกสอนที่ชื่อ "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" ตั้งแต่ซีเกมส์เมื่อปลายปี 2556 ซึ่งเราได้เหรียญทองที่พม่า ต่อมาเราได้อันดับที่ 4 ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่เกาหลีใต้ ความหวังลึกๆของแฟนบอลพันธุ์แท้ได้เจิดจ้าเป็นประกายอยู่ภายในใจมาเป็นลำดับ จนมาระเบิดเป็นดาวกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า เมื่อทีมฟุตบอลชุดนี้ได้คว้าตำแหน่งแชมป์แห่งภูมิภาคอาเซี่ยนมาครองได้สำเร็จ...แท้ที่จริงแล้วนั้นมีเหตุผลใหญ่ๆแค่ 2 ประการ คือ 1.รูปแบบการเล่นเป็นทีมที่ทันสมัย ความฟิต และหัวใจนักสู้ ส่วนประการที่ 2 ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย ว่านักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดนี้ล้วนแต่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี โดยเฉพาะ นักเตะหมายเลข 7ที่ชื่อ "ชาริล ชัปปุยส์" หนุ่มน้อยลูกครึ่ง สวิต-ไทย ผู้ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยร่วมทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ รุ่น U17 คว้าแชมป์โลกมาแล้ว ก่อนที่เขาจะตัดสินใจมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติไทยในปัจจุบัน...ด้วยเหตุ 2 ประการนี้แหละที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลังศรัทธาที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ พลังแห่งความสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เกิดเป็นกระแสฟุตบอลฟีเวอร์ขึ้นในฉับพลันทันใด...หากมองย้อนกลับไปวิเคราะห์หาเหตุผลว่าอะไรกันที่ทำให้ทีมฟุตบอลชุดนี้ประสพความสำเร็จ ได้ทั้งกล่อง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งหัวใจของแฟนฟุตบอลทั้งประเทศ...คงไล่มาตั้งแต่ระบบ "ลีก" ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเอเซีย หรือแม้แต่ในยุโรป อเมริกาใต้ และ แอฟริกา จะเห็นได้จากการที่มีนักฟุตบอลฝีเท้าดีจากต่างชาติหลั่งไหลกันมากอบโกยเงินบาทจากบรรดาเหล่าสโมสรทั้งหลาย ซึ่งจากจุดนี้เองทำให้นักเตะสายเลือดไทยได้ร่วมปะทะเพลงเตะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชั้นเชิงฝีเท้าจากผู้เล่นต่างชาติ...หลายๆคนมีทักษะในเชิงฟุตบอลที่สูงกว่าจนทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตัวนักเตะไทยเองขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงบางสโมสรชั้นนำของประเทศไทย เช่น บุรีรัมย์ยูไนเต็ด หรือ เมืองทองยูไนเต็ด ก็ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลในรายการระดับท็อปของทวีปเอเซียร่วมกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อิหร่าน และ ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น สำหรับในด้านผู้ฝึกสอน หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า "โค้ช" ทีมชาติไทยก็เคยใช้บริการโค้ชฝีมือดีมาหลายต่อหลายคน ยกตัวอย่าง คาร์ลอส โรแบร์โต คาวัลโญ่ , ปีเตอร์ วิธ , ไบรอัน ร็อบสัน , ปีเตอร์ รีด , วินฟรีด เชเฟอร์ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนฟุตบอลสักเท่าไร เนื่องมาจากยังไม่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในระดับเอเซีย จนมาถึงโค้ชคนปัจจุบัน ซิโก้ "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในยุคดรีมทีม...เรียกได้ว่าบนผืนแผ่นดินไทยไม่มีใครที่ไม่รู้จักซิโก้ ตอนที่เป็นนักเตะสร้างชื่อเสียงเอาไว้มากมาย ทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาค แต่การที่ซิโก้ได้มารับหน้าที่เป็นกุนซือของทีมชาติไทยชุดใหญ่ มันเป็นการท้าทายความสามารถของเขาอย่างมากท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ามือไม่ถึงบ้าง ยังละอ่อนไปบ้าง แต่ด้วยความที่ซิโก้เป็นนักฟุตบอลของแท้ และรู้ถึงซึ่งธรรมชาติของนักฟุตบอลไทย เขาได้เอาความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ของตัวเอง มารวมหล่อหลอมใส่ลงไปในนักเตะชุดความหวังใหม่ของคนไทยทั้งชาติ เริ่มตั้งแต่การเล่นฟุตบอลภาคพื้นดินที่สวยงาม ความเป็นสุภาพบุรุษทั้งในและนอกสนาม จนประจักษ์ไปทั่วทั้งดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คำถามคือว่า ซิโก้มีความเก่งกาจกว่าเหล่ากุนซือที่ผ่านๆมาของทีมชาติไทยหรือ?...คำตอบ คือ ไม่ใช่ แต่สิ่งเดียวที่ซิโก้มีมากกว่า คือรู้ว่าด้วยสรีระแบบไทยๆ ควรจะเล่นฟุตบอลแบบไหน ที่สุดก็เจอเข้าจนได้ นั่นคือการเล่นบอลกับพื้น อาศัยการต่อบอลตามช่อง วันทัช ทูทัช การเคลื่อนที่ของนักเตะ และสปีดบอล...หลายๆชาติในอาเซี่ยนถึงกับอึ้งกิมกี่ เมื่อเห็นรูปแบบการเล่นที่ทันสมัยของนักเตะไทยชุดนี้ บวกกับความฟิตอันยอดเยี่ยม มันสวยงาม เพลิดเพลิน จนบางคนเปรียบเปรยไปว่า นึกว่านั่งดูบาเซโลน่า ความสำเร็จในวันนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นให้ฟุตบอลทีมชาติไทยได้มีโอกาสไต่บันไดให้สูงขึ้น นั่นหมายถึงเป้าหมายต่อไป คือ ระดับเอเซีย ก่อนที่จะไปถึงระดับสูงสุด คือ ฟุตบอลโลก...ต้นกร้าทีมนี้รอวันเติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงต่อไปในภายภาคหน้า สมาคมฟุตบอล สโมสรฟุตบอล แฟนฟุตบอล ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ถ้าหากร่วมมือร่วมใจกัน เดินไปในแนวทางเดียวกัน ซิโก้จะทำงานง่ายขึ้น นั่นหมายความว่า เป้าหมายแห่งความสำเร็จที่สูงขึ้นไปอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม...เราอาจไม่ต้องรอถึงชาติหน้าก็ได้ สำหรับทีมชาติไทยที่จะได้ไปบอลโลก...เวลา และความมุ่งมั่นของซิโก้และทีมงาน จะให้คำตอบกับแฟนฟุตบอลทั้งประเทศ...เมื่อพลังแห่งศรัทธาครั้งใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว จะทำอะไร ก็รีบทำนะ...โก้



นำเสนอโดย :

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น