จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

ความรักเอย...สมหวัง ผิดหวัง...เป็นของคู่โลก...!!!

          วันนี้จะมาคุยเรื่องความรักของหนุ่มสาวสักเล็กน้อย...จากที่เคยหงอยเหงาเศร้าซึมก็กลับมากระปี้กระเป่า กระชุ่มกระชวย...เมื่อแรกเริ่มมีความรัก ความต้องการอยากสวย อยากหล่อมักจะเกิดขึ้นมาทันใด จริงอ่ะป่าว...ผู้เขียนไม่ใช่กูรูทางด้าน "ความรัก" นี้หรอกนะครับ แค่เอาบางสิ่งบางอย่างที่เป็นประสบการณ์นำออกมาเล่าสู่กันฟัง จะได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็เป็นเรื่องของคนอ่าน ไม่ใช่เรื่องของผู้เขียน...อ่านถึงตรงนี้ ถ้าคิดเป็น  มันจะคิดออก...หรืออาจจะว่าผู้เขียนกวนTeen ก็ได้เหมือนกัน...อิอิ...หลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างล่ะมั้งว่า "เวลารักใครให้รู้จักเผื่อใจเอาไว้บ้าง ป้องกันความผิดหวัง"...เวลาปฏิบัติมีใครเผื่อใจเอาไว้มั้ย?...ผู้เขียนเชื่อว่าม่ายมี...ทุกคนเมื่อมีความรัก เราก็ใส่มันสุดๆทั้งนั้นแหละ ลืมไปเลยกับประโยคที่เขาสอนเขาเตือนกันไว้...เมื่อเกิดความรักมันไม่สมหวังดังใจคิดล่ะ...แล้วเราจะทำยังไง?...ก็เสียใจไปซิ ร้องไห้ไปซิ...ไม่มีใครเขาห้ามนิ...มันก็เสียใจ ก็ร้องไห้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ต้องรู้จักพอนะจ๊ะ...!!!

http://dharmaishere.blogspot.com


ไม่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นใครจะเป็นคนผิดคนถูก ก็ช่างมัน ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปนั่งหา เพราะเรื่องราวมันได้เกิดขึ้นมาแล้ว...ผู้เขียนเอาประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเองมาพูด จึงไม่ผิด เพราะมันเกิดกับผู้เขียน ผู้เขียนก็ทำแบบนั้นแหละ...ความผิดหวังเสียใจ เสียน้ำตามันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอครับ อย่าไปห้ามมัน ให้มันผ่องถ่ายออกมาบ้าง แต่ความสำคัญคือ คุณต้องเรียนรู้มัน อยู่กับมันไปสักระยะ พิจารณาความเสียใจนั้นไป แล้วคุณจะเห็นว่ามันก็แค่นั้นเอง...ผู้เขียนอยากให้คิดมุมกลับ มองไปยังคนที่ทำให้คุณต้องเศร้า มองเขา แล้วพิจารณา เขาย่อมมีเหตุผลในการเลิกลากับคุณ เหตุผลอะไรก็ช่าง อย่าไปสนใจ แต่เหตุผลนั้นคงทำให้เขาคนนั้นมีความสุข ความสบายใจ ถ้าคุณมีความรักในตัวเขาคนนั้นมากพอ คุณควรยิ้มให้กับเหตุผลและความสุขนั้นของเขา ...พลอยยินดีไปด้วย...พูดง่ายฉิบHายเลยใช่ป่าว...555 ก็อย่าทำอะไรให้มันยุ่งนักซิครับ ผู้เขียนเองผิดหวังมาแล้ว เสียใจเป็น ร้องไห้ก็เป็น...สำหรับคนที่ทำให้ผู้เขียนเป็นเช่นนั้น วันนี้ผู้เขียนก็ยังคุยกันอยู่...!!!

ผู้เขียนไม่สนหรอกว่าเขาจะรักใคร อะไรยังไง...หน้าที่ของผู้เขียน คือ ต้องการเห็นเขามีความสุข อ่านแล้วทำความเข้าใจตรงนี้ให้มากๆนะครับ...เขาจะรักผู้เขียนหรือไม่รัก มันเป็นเรื่องของเขา แต่การที่ผู้เขียนยังรักเขา และต้องการเห็นเขามีความสุข...มันเป็นเรื่องของผู้เขียน...อะไรที่มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เราก็อย่าไปคิดไปยึดให้มันมากมาย...ความสมหวัง ความผิดหวัง มันอยู่คู่โลกมาช้านาน มันเป็นสมบัติของโลกนะครับ เราต้องเรียนรู้แล้วอยู่กับมันให้ได้...คนอื่นจะคิดยังไงกับวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปผู้เขียนไม่รู้ แต่สำหรับผู้เขียน เริ่มนับถอยหลังการอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อไรก็เมื่อนั้น...สุขทุกข์ก็ว่ากันไปถ้าเรายังมีลมหายใจอยู่ หมดลมก็หมดเรื่อง...รักได้ก็เลิกได้ มีได้ก็หมดได้...กลับบ้านของเรานะครับ ที่บ้านมีคนที่รักเรา ที่นั่นมีแต่ความอบอุ่น ถ้าข้างนอกลมมันแรง ฝนมันเทกระหน่ำ หรือ แดดมันร้อน หลบเข้าบ้านซะ...พักกายพักใจ...สวดมนต์ไหว้พระ เรียกสติกลับมา...ไม่มีอะไรยาก...ผู้เขียนพูดแบบนี้ได้ เพราะทำ และผ่านมันมาแล้ว...วันนี้ก็เลยสบายๆ ชิล ชิล ใครอยากรักผู้เขียน ก็รักไปซิ ใครอยากไม่รักก็เลิกไปซิ....เสียใจมันก็เรื่องธรรมดา...เกิดได้ ก็ดับได้...สู้ สู้ นะครับ ไม่มีอะไรยาก...ถ้าใจคุณพร้อมจะสู้...บาย...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

นิวรณ์ 5...ระงับเสีย...ก่อนภาวนา...!!!

          ก่อนที่จะทำการปฏิบัติบูชา คือ การทำสมถภาวนา หรือ วิปัสนาภาวนาในครั้งใดๆก็ตาม ร่างกายและจิตใจต้องอยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์ คำว่าพร้อมในที่นี้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดนิวรณ์ 5 ทิ้งไปเสีย และก่อนที่จะตัดมันทิ้งไป เราควรมาทำความรู้จักรูปร่างหน้าตาและอุปนิสัยของมันเสียก่อน ในที่นี้ผู้เขียนได้อัญเชิญพระธรรมเทศนาตอนหนึ่งขององค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง มาบอกเล่าให้กัลยาณมิตรทั้งหลายได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกันกับผู้เขียน ดังนี้...

นิวรณ์ 5 ประกอบด้วย :

1.กามฉันทะ ตัดความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวล ตามที่เราต้องการ ในอารมณ์ที่หมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ อาหารที่มีรสอร่อยก็อย่าไปติดมัน ในรสอาหารนี่กินดีก็ตาย กินไม่ดีก็ตาย อร่อยก็ตาย ไม่อร่อยก็ตาย เรากินอย่างอัตภาพให้เป็นไป คือตัดอารมณ์ในความสวยสดงดงามทุกอย่าง ที่เป็นรูป หรือเป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรสอะไรทั้งหมดในเวลานั้น เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เราติดกันอยู่ เราจึงต้องมาเกิด เหตุเกิดมันก็เต็มไปด้วยความทุกข์

2.โทสะ และ พยาบาท  ความโกรธหรือว่าความผูกโกรธอันนี้เราก็โยนทิ้งไป เพราะเวลานี้เราต้องการอย่างเดียวคือ ความดี การทรงสติสัมปชัญญะ สงบสงัดจิตอยู่ในด้านกุศลมีแต่ความดี เวลานี้เราต้องการเท่านี้ ถึงแม้ว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่าใครเขาว่าเรา เขานินทาเรา เราก็ควรให้อภัย ให้อภัยเพราะอะไร เพราะเขาว่าเรา เขานินทาเรา เขาเหนื่อยคนเดียว นี่เราไม่ได้เหนื่อยด้วย เรานอนสบาย...เราจะดีหรือจะชั่วไม่เกี่ยวที่ปากคน ปากคนเขาชมเราว่าดี ถ้าเราเลวแล้วเราก็ดีไม่ได้ ถ้าใครเขามานินทาว่าร้ายว่าเราเลว แต่ถ้าหากว่าเราทำดี เราก็เลวไม่ได้เหมือนกัน นี่คำวาจาของคนไม่มีความหมาย ความหมายของเราก็มีอยู่อย่างเดียว คือปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่โยนความโกรธทิ้งไปชั่วขณะหนึ่งที่เรากำลังทำสมาธิ เลิกแล้วมันอยากโกรธก็ตามใจมัน นี่เรียกว่าผ่อนสั้นผ่อนยาว

3.ถีนมิทธะ  ความง่วงเหงาหาวนอน แล้วเวลาที่เราจะปฏิบัติควรตั้งเวลาไว้ แต่ควรอย่าให้ยาวเกินไป ถ้ายาวเกินไปมีอาการเครียดเป็น อัตตกิลมถานุโยค มันจะไม่มีโอกาสได้แม้แต่สมาธิ

4.อุทธัจจกุกกุจจะ  ความฟุ้งซ่านของจิต และรำคาญในเสียง การฟุ้งซ่านของจิตนี่มันเป็นของธรรมดาท่านพุทธบริษัท คนเราที่จะระงับความฟุ้งซ่านของจิตได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าถึงความเป็นอรหัตผล นี่เวลาที่เราภาวนาและพิจารณาไปบังเอิญจิตมันจะฟุ้งส่งไปสู่อารมณ์อย่างอื่นบ้าง พอนึกขึ้นมาได้ก็จับขึ้นมาตั้งต้นกันใหม่ สักประเดี๋ยวหนึ่งมันต้องวิ่งไป พอเรารู้สึกตัวก็จับมาขึ้นกันใหม่ ทำแบบนี้ไม่ช้าจิตเราก็ตั้งอยู่ มีการทรงตัว พอเราจะห้ามมันไม่ให้มันคิดอะไรเลยนี่ไม่ได้ มันต้องคิด เพราะใหม่ๆจิตมันคิดมาจนชินแล้ว แต่ก็ค่อยๆฝึกมันไปมันก็จะทรงตัวได้

5.วิจิกิจฉา  เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



นี่คือนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ถ้าหากว่าอย่างใดอย่างหนึ่งมันเข้ามาสิงใจ ฌาณมันก็เกิดไม่ได้ นี่เราบอกว่าการเจริญพระกรรมฐานเอาดีไม่ได้นี่ เพราะเราเป็นทาสยอมแพ้นิวรณ์ 5 ประการ แต่ขณะใดที่เราระงับนิวรณ์ทั้ง 5 ประการนี้ได้หมด ขณะนั้นจิตเข้าถึงปฐมฌาณทันที อย่างนี้เป็นของไม่ยาก...หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจับลมหายใจเข้าออก จะใช้คำภาวนาหรือไม่แล้วแต่อัธยาศัย แบบแผนมีอยู่แล้ว ถ้าทำไปประเดี๋ยวหนึ่งจิตมันเคลื่อนไปสู่อารมณ์อื่น แต่พอจับได้เราก็ขึ้นตั้งต้นกันใหม่ ประเดี๋ยวมันก็ไปใหม่ อย่างนี้เรียกว่า "ขณิกสมาธิ"...แปลว่าสมาธิเล็กน้อย ถ้าเราทรงอารมณ์ได้อย่างนี้สลับกันไป ทรงได้บ้างทรงไม่ได้บ้าง จนกระทั่งตาย เวลาจะตายก็มีอารมณ์ใจชุ่มชื่น...เวลาเจริญสมาธิอันนี้ต้องเตือนไว้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอย่าสนใจกับภาพแสงสีใดๆ เราต้องการสมาธิ มีความต้องการอย่างเดียวคือ จิตสงบจากนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ให้จิตทรงไว้ในอารมณ์อันเดียว คือที่เราตั้งใจไว้ในตอนแรก นี่คือ ขณิกสมาธิ นี่ถ้าเราตายไปท่านก็ไปสวรรค์ได้ทันที โดยไม่ต้องเลี้ยวลงไปหานรกก่อน เมื่อจิตมีกำลังชุ่มชื่นมีกำลังดีขึ้นไปกว่านั้น มีอารมณ์ชุ่มชื่นมีปิติ คือความอิ่มใจ ทรงสมาธิได้นานกว่า มีความสุขกว่า อย่างนี้เรียก อุปจารสมาธิ แต่ก็ทรงได้ไม่นานนัก ถ้าทรงอุปจารสมาธิได้ ตายแล้วก็ไปเป็นเทวดาได้เหมือนกัน และเข้าชั้นยามา มีชั้นยามาเป็นที่ไป

ถ้าหากว่าจิตใจของท่านพุทธบริษัททั้งหลายทรงอารมณ์ไว้ได้ จะมีเสียงวิทยุ เสียงคนคุย เสียงคนทะเลาะกัน อะไรก็ตามเถอะ เสียงรถเสียงรา มันมาอย่างไรก็ช่าง เราไม่ได้ยินเสียง ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เรารู้หมด เขาพูดว่าอย่างไร เขาด่ากันอย่างไร เขาชมกันว่าอย่างไร เรารู้หมด แต่ทว่าเราไม่รำคาญในเสียง สามารถทรงอารมณ์ไว้ได้ ในขณะที่เราเจริญปฏิบัติในด้านสมถภาวนาหรือวิปัสนาภาวนา อย่างนี้เรียก ปฐมฌาณ ตั้งแต่ปฐมฌาณขึ้นไป ถ้าเราตายในฌาณเราก็เป็นพรหม...แล้วต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดเสียว่าความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เราจะกำหนดเวลาตายของเราไม่ได้แน่นอน เว้นไว้แต่ว่า ท่านที่ได้ เจโตปริยญาณ หรือว่า อตีตังสญาณ ท่านพวกนี้ท่านรู้เวลาของท่าน แต่ว่ารู้ญาณประเภทนี้เขาก็รู้ที่อยู่ด้วย ว่าเราตายไปเวลานี้เราจะไปอยู่ที่ไหน สถานที่อยู่จะมีความสุขความทุกข์เป็นประการใด อันนี้รู้ได้ แต่เอาไว้พูดกันทีหลัง เวลานี้อาตมาต้องการอย่างเดียว ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตัดสังโยชน์ให้ได้ 3 อย่าง 5 อย่าง 10 อย่าง ถ้าตัดสังโยชน์ได้ 3 อย่าง ก็เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี ถ้าตัดได้ถึง 5 ข้อ หรือ 5 อย่าง ก็เรียกว่า อนาคามี ตัดได้ถึง 10 อย่าง ก็เป็นพระอรหันต์...

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งใจควบคุมกำลังใจของท่าน จับลมหายใจเข้าออกไว้เป็นปกติ ถ้าจะเจริญแบบ มหาสติปัฏฐานสูตร ก็ให้พิจารณากำหนดจิต รู้อยู่ว่านี่เราหายใจเข้า นี่เราหายใจออก หายใจเข้าสั้นหรือยาว ออกสั้นหรือยาวก็รู้อยู่ อย่างนี้เรียกว่าทรง อานาปานุสสติ ถ้าในด้าน กรรมฐาน 40 ก็กำหนดรู้ลม 3 ฐาน เวลาหายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย เวลาหายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปากหรือกระทบจมูก ใครกำหนดข้อนี้ต้องพิจารณาไว้ด้วย ถ้ากำลังใจของเราไม่สามารถจะจับ 3 ฐานได้ ก็จับฐานเดียวไว้ที่จมูก ถ้าจับได้ถึง 3 ฐานเมื่อไร ก็ทราบได้นั่นจิตของเราเข้าถึง ปฐมฌาณแล้ว...

ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้คงพอที่จะทำให้กัลยาณมิตรทั้งหลายได้รู้จักรูปร่างหน้าตา และความหมายของเจ้า นิวรณ์ 5 พอสมควร นอกจากนี้ยังแถมพระธรรมเทศนาขององค์หลวงพ่อท่านในบางตอนที่มีความเกี่ยวข้องกันเพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติของตนเองต่อไป และเมื่อครั้งใดก็ตามในขณะที่เรากำลังปฏิบัตินั้น นิวรณ์ 5 ดับลงไปแล้ว...สมาธิที่เราท่านต่างปรารถนา จะบังเกิดขึ้น...!!!

ที่มา : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

ณ เส้นทางหนึ่งที่มีชื่อว่า...ทางสายกลาง...!!!

          มัชฌิมาปฏิปทา...หรือที่เราเรียกกันในแบบที่คุ้นเคยว่า...ทางสายกลาง...เมื่อเห็นคำๆนี้ที่ไหนมักจะมีคำอีก 2 คำเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ...นั่นคือ



1.อัตตกิลมถานุโยค คือ การกระทำตนให้ลำบากเกินไป ได้แก่อาการทรมานตัว ปฏิบัติเครียดเกินไป อย่างนี้ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้
2.กามสุขัลลิกานุโยค คือ ความสุขความสบายจนเกินควร เวลาปฏิบัติก็อยากจะได้อย่างนั้นอยากจะได้อย่างนี้ อยากจะถึงโน่น อยากจะถึงนี่ ตัวอยากนี่เป็นตัณหา เป็นกิเลส เราปฏิบัติเพื่อวางกิเลส แต่เราเอากิเลสเข้ามาสิงใจ มันก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้บรรดาพุทธบริษัทปฏิบัติเป็นสายกลาง อย่าตึงเกินไป และก็อย่าหย่อนเกินไป ทำเอาแค่สบายๆ การเจริญสมถภาวนา วิปัสนาภาวนา เราทำให้เกิดความสุข เราทำให้เกิดความสบาย ไม่ใช่ทำเป็นการทรมานกาย ทรมานใจ อันนี้มันไม่ถูก...นี่การทำแบบไหนล่ะมันถึงจะพอดีพอควร ก็ดูตัวของเราเองก็แล้วกัน เราอย่าเอาร่างกายของเราไปวัดกับร่างกายของคนอื่น คนอื่นบางทีเขานั่งเจริญภาวนา 3-4 ชั่วโมง เขากำลังสบาย ร่างกายเขาทรงอยู่ได้ ถ้าร่างกายของเราทรงไม่ได้อย่างเขา ก็อย่าไปทำขนาดเขา เพราะว่าการปฏิบัตินี่มันไม่ใช่มันต้องนั่งอย่างเดียว นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ ในอิริยาบถ 4...มีโอกาสที่จะพึงบรรลุมรรคผลได้เสมอกัน นี่เรียกว่าทำให้พอดี ถ้านั่งมันเมื่อยก็ยืน ยืนมันเมื่อยก็เดิน เดินมันเมื่อยก็นอน ถ้านอนภาวนาจนหลับไป อันนี้อาตมา (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) จะชอบใจมาก...



เวลาไม่มี ไม่มีเวลา...ภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดี พิจารณาในด้านสมถภาวนา วิปัสนาภาวนา...ในสมถภาวนานี่มีทั้งพิจารณาและก็ภาวนา ถ้าลืมภาวนาหรือพิจารณาไปแล้วก็หลับไป ไม่รู้ว่าหลับเมื่อไร อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึง ปฐมฌาณ...หากว่าจิตของท่านไม่เข้าถึง ปฐมฌาณ มันหลับไม่ได้ ถ้าจะถามว่าหากว่าภาวนาจนกระทั่งหลับนี่จะใช้เวลาเท่าไร ก็จะขอตอบว่า ถ้าภาวนาไปแล้วมันหลับเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะจิตมันเข้าถึงฌาณเร็ว...การเป็นผู้ทรงฌาณนี่เราสามารถทำได้ ที่ท่านทั้งหลายพูดว่า เวลาไม่มี เวลาไม่พอ อันนี้ไม่จริง ตัวเราทุกคนต้องนอนอยู่แล้ว ในเมื่อเรามีเวลานอนพอ เวลานอนนั่นเราทำอะไร จะไปตักน้ำ จะไปหุงข้าวหรือจะไปทำงานอะไรนี่มันไม่มีแล้ว เวลาที่เราจะหลับจับองค์ภาวนานึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น...หนือว่าท่านพอใจในกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เป็นตัวภาวนาหรือพิจารณาก็ตาม หรือว่าจะพิจารณาใน ขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา อย่างนี้ก็ได้...

ในเมื่อจะพิจารณาว่าร่างกายนี้เป็น อนิจจัง มันไม่เที่ยง ทุกขัง มันทรงอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ในที่สุดมันก็สลายตัว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ควรจะมีขันธ์ 5 ต่อไป เราต้องการพระนิพพาน อย่างนี้ก็ทำได้ จะภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาไป ภาวนาไป แล้วมันหลับ นี่ถ้าหากว่าจิตเราเข้าไม่ถึงปฐมฌาณมันหลับไม่ได้ ใจมันจะทรงอยู่จะเกิดความรำคาญ ถ้ามันทรงไม่ไหวก็พักเสีย จนกว่าจิตเราจะมีความละเอียดเข้าถึงจุด ...เริ่มภาวนาประเดี๋ยวเดียว หลับเลย อันนี้อาตมา (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน) จะชอบมาก...พอนึกว่าจะภาวนา ไม่ทันจะภาวนาก็หลับ หรือนึกว่าจะพิจารณา ไม่ทันพิจารณาก็หลับ อย่างนี้จะชอบใจ เพราะว่าอะไร...เพราะว่าจิตของท่านเข้าถึงปฐมฌาณเร็ว...

นี่การทรงฌาณเราทรงได้ทุกวัน ถ้าปฏิบัติแบบนี้ เราตื่นขึ้นมาเวลาเช้ามืด ยังพอมีเวลา ยังไม่ต้องลุกขึ้นมา อิริยาบถนั้นเปลี่ยนมันจะเคลื่อนจากสมาธิ ก็ให้จับองค์ภาวนา หรือพิจารณาต่อไป จิตใจจะชุ่มชื่น ถ้ามีอารมณ์แนบสนิททรงสมาธิได้ดี วันนั้นทั้งวันท่านจะมีแต่ความสุข ท่านจะมีความเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ การตอบปัญหาเฉพาะหน้าใดๆ จะทำได้อย่างคล่องแคล่วอย่างคาดไม่ถึง...นี่ผลในการภาวนาและพิจารณามีผลอย่างนี้...นี่พูดให้ฟังถือว่าการทรงฌาณทุกวันเราทำได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ ทำแบบนี้ได้ทุกๆวัน เพราะเรามีการงานมาก ไม่ต้องไปนั่ง การนั่งก็เหมือนกัน ไปนั่งเก้าอี้ นั่งห้อยขา นั่งบนเตียง นั่งที่ไหนมันก็ได้ ไม่ต้องเลือกอิริยาบถ ไม่ต้องไปเลือกอาการของการนั่ง ไม่ใช่ต้องไปนั่งพับเพียบ หรือว่านั่งขัดสมาธิเสมอไป อันนี้ไม่จำเป็น นี่หากเวลานั่งอยู่ ถ้าเราเมื่อย ถ้าพับเพียบก็เปลี่ยนจากขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา อย่างนี้ก็ทำได้ หรือจะนั่งขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิไม่ชอบใจ หันมานั่งพับเพียบ นั่งพับเพียบมันไม่ไหว ร่างกายมันทำงานมาทั้งวัน มันต้องการพักผ่อน ก็ไปนั่งบนเก้าอี้เหยียดขาให้สบาย เอนกายลงไป ใจจับอยู่ในด้านสมาธิ หรือวิปัสนาญาณ อย่างนี้ก็มีผลเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้ฝึกกาย แต่เราฝึกใจ...

เราฝึกใจฝึกไปไหนล่ะ นี่จุดที่เราฝึกเพื่อตายกัน เพราะว่าถ้าจิตเราเป็นสมาธิ เราทรงอยู่ในด้านวิปัสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าตายแล้วจิตมันก็คบเอาอารมณ์นี้ไปด้วย มันคบอารมณ์สมถภาวนาวิปัสนาไป จิตมันก็ลงต่ำไม่ได้ มันไปเบื้องสูง อย่างเลวที่สุดเราก็เป็นเทวดา ถ้าจิตตั้งมั่นเป็นฌาณเราก็เป็นพรหม...ถ้าจิตวางอวิชชา คือ ขันธ์ 5 เสียได้แล้ว เราก็ไปพระนิพพาน มันไม่ยาก ความจริงมันไม่มีอะไรยาก นี่สำหรับการเจริญพระกรรมฐาน

จะเห็นว่าทางสายกลางมีอยู่ เราผู้ปฏิบัติก็เพียงแต่นำมาใช้ ปรับให้เข้ากับสภาวะร่างกายและจิตใจ ดังที่องค์หลวงพ่อท่านได้เทศนาสอนเอาไว้ว่า...การปฏิบัติเรามาฝึกใจ ไม่ใช่ฝึกกาย...ดังนั้นเมื่อเราได้เส้นทางที่เหมาะสำหรับเราแล้ว ไม่ตึงเกิน ไม่หย่อนเกิน...นั่นแหละ คือทางสายกลางเฉพาะเราที่ต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคได้ผล...!!!

ที่มา : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 21

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story


อธิษฐานบารมี...ความสำคัญใหญ่ยิ่ง...ที่ไม่ควรมองข้าม...!!!

          อธิษฐานบารมี...เป็นหนึ่งในสิบบารมี (ทศบารมี) ที่มีความสำคัญยิ่ง...บารมี แปลว่าเต็ม อธิษฐาน แปลว่า การตั้งใจ มีความตั้งใจเต็มอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ การตั้งใจไว้อย่างนั้นย่อมมีผล...ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกว่า "การอธิษฐาน" กับ "การบนบาน"...มันคนละเรื่องกัน คิดง่ายๆกล่าวคือ การตั้งจิตอธิษฐานให้สำเร็จกิจการที่ดีที่ประเสริฐสำหรับตนด้วยกำลังแรงบุญ มิได้ต้องไปกราบกรานบนบานต่อเทพเทวาองค์ใดให้ช่วยเหลือ เพราะนั่นเป็นการติดสินบน...ตอนหนึ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้เทศนาสอนว่า..."เวลานี้คนมีบารมีมีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบารมีสูงสุด คือ ปรมัตถบารมี คนที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมีนั่นคือ คนหวังนิพพาน ถ้ามีบารมีไม่ถึงปรมัตถบารมีจะหวังนิพพานไม่ได้ กำลังใจไม่พอ นี่คนที่หวังนิพพานมีเยอะ แต่บางคนมีบารมีขั้นต่ำลงมา ปรารถนาแค่พรหม นี่ก็เป็น อุปบารมี คนที่บารมีต่ำมากหน่อยปรารถนาแค่สวรรค์ก็เป็น บารมีปกติ ก็ยังถือว่าเป็นความดี บารมีประเภทนี้ดีกว่าบำเพ็ญบารมีลงนรก"...

ทีนี้การบำเพ็ญบารมีเขาทำกันยังไง...คำว่าอธิษฐานบารมี แปลว่าตั้งใจเต็ม เราเต็มใจจะไปสวรรค์ เราเต็มใจจะไปพรหมโลก เราเต็มใจจะไปนิพพาน ก็ตั้งใจไว้ ทำสังฆทานกับพระก็ดี ถวายทานกับพระเป็นส่วนบุคคลก็ดี ให้ทานกับคนก็ดี ให้ทานกับสัตว์ก็ดี เราตั้งใจว่าการกระทำอย่างนี้เราต้องการไปนิพพาน นี่เป็น "อธิษฐานบารมี"...เราต้องการไปพรหมโลกก็เป็นอธิษฐานบารมี เราต้องการไปเกิดบนสวรรค์ก็เป็นอธิษฐานบารมี เราต้องการว่าทานประเภทนี้เราให้ไปแล้วชาติหน้าขอให้รวยใหญ่ก็เป็นอธิษฐานบารมี...ทีนี้ถ้าตั้งใจไว้จริงๆ มันมีผลตามนั้นเพราะกำลังของบุญกุศล...ดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังดังนี้...ซึ่งเป็นเรื่องของพระอนุรุทธ...

ถ้ายังไม่ต้องการไปนิพพาน ต้องการรวย เผื่อว่ายังไปไม่ถึงนิพพานก็เอารวยไว้ก่อน แล้วก็ไม่ยอมรวยชาติเดียว ต้องการรวยตั้งแต่ชาตินี้ไปจนกระทั่งถึงนิพพาน..."ถ้าตั้งใจจริงๆ มันจะคล่องตัวตั้งแต่ชาตินี้ไป ฉันเคยทำมาแล้วนะ"...เทศน์นี่เขาห้ามยกตัวเองเป็นตัวอย่าง แต่เมื่อตัวอย่างเคยทำมาแล้วมีผลก็ขอบอกให้ทราบ...นั่นคือเวลาทำบุญทุกอย่างให้ตั้งใจอธิษฐานแบบ "พระอนุรุทธ"...พระอนุรุทธสมัยก่อน ก่อนที่ท่านจะเป็นพระอรหันต์ ในชาติก่อนๆโน้น เวลาทำบุญทุกครั้ง จะใส่บาตรก็ดี จะให้ทานก็ดี จะบูชาพระก็ตาม จะสมาทานศีลก็ตาม จะเจริญกรรมฐานก็ตาม ตั้งใจไว้อย่างเดียวโดยเฉพาะ ความจริงไม่ใช่อย่างเดียวมัน 2 อย่างว่า..."ขอบุญบารมีที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญแล้วนี้ ให้เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานโดยง่าย แต่ว่าก่อนที่จะถึงนิพพานเพียงใด ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏกับข้าพเจ้า"...

จำกันให้ดีนะ จะต้องไม่อธิบายยาวเหยียด อธิษฐานอย่างโน้น อธิษฐานอย่างนี้มันจะยุ่งกันไปเปล่าๆ ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏกับข้าพเจ้า แค่นี้พอ มันมีทุกอย่าง ทีนี้ตามบาลีท่านเล่าให้ฟังต่อว่า ในสมัยหลังชาติสุดท้าย คือว่าในทุกๆชาติ พระอนุรุทธเกิดทุกๆชาติ ชาติไหนก็ตามถ้าต้องการอย่างไหน ถ้าต้องการอย่างนั้นได้เสมอตามต้องการ ทีนี้มาว่าถึงชาติสุดท้ายมันมีความสำคัญมาก ท่านเกิดเป็นลูกเจ้า เป็นลูกของอาพระพุทธเจ้าเอง ถ้าวัดกันโดยฐานะญาติ พระอนุรุทธเป็นน้องของลูกอาพระพุทธเจ้านั่นเอง คือเป็นน้องพระพุทธเจ้า...

ขนมทิพย์...เมื่อในทุกวันท่านอนุรุทธก็เล่นสนุกกับเพื่อนๆ เมื่อถึงเวลาอาหารแม่ก็ทำขนมส่งไปให้มาเลี้ยงเพื่อนด้วย ทำแบบนี้ทุกวัน ทีนี้ตามธรรมดาโบราณเขาบอกว่า เศรษฐีย่อมขาดไฟฉันใด คนที่มีฐานะดีๆ บางครั้งบางสิ่งบางอย่างก็ขาดเหมือนกัน เป็นอันว่าวันนั้นอุปกรณ์ในการทำขนมไม่มี เมื่อถึงเวลาจะเลี้ยงเพื่อน ท่านอนุรุทธได้บอกให้คนใช้ไปบอกแม่ บอกว่าเวลานี้ต้องการขนมจะมากินเอง จะเลี้ยงเพื่อนด้วย แม่ก็บอกคนใช้ไปว่า วันนี้ขนมไม่มีเพราะขาดอุปกรณ์...ท่านอนุรุทธท่าน ไม่เคยมีคำว่าไม่มี ลูกเจ้ามันมีทุกอย่าง ก็เลยส่งคนใช้บอกว่าขนมไม่มีก็เอา จะกินขนมไม่มี...บอกว่าขนมไม่มีก็เอา แม่ก็เลยคิดในใจว่า ลูกของเราเป็นลูกเจ้า มีฐานะดี ไม่เคยขาดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่วันนี้มันขาด วันนี้อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักคำว่า "ไม่มี"...จึงนำถาดเปล่าๆ แล้วส่งให้คนใช้แบกไป บอกให้ลูกชายฉัน เขาจะได้รู้จักคำว่าไม่มี...



ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง จะถือว่าบังเอิญก็ไม่ได้เพราะว่าคำว่า..."อธิษฐานบารมีถ้าบุคคลใดทำจริง เทวดาต้องอารักขา เทวดาอารักขาจะช่วยให้เป็นไปตามนั้น"...ไม่ใช่เราคนเดียวนะ เทวดาประจำตัวเขาต้องทำด้วย เพราะว่าทุกคนที่เกิดมานี่มีเทวดารักษาตัวทุกคน ไม่ใช่รักษาองค์เดียว คนหนึ่งมีเทวดารักษาตัวหลายองค์ ขณะที่คนใช้แบกถาดไปนั่นเทวดาที่รักษาตัวก็คิดไปว่า ถ้าวันนี้พระอนุรุทธไม่มีขนมกิน เราพวกเทวดาอารักจะต้องหัวแตก 7 เสี่ยง ก็แย่ซิ...เทวดาก็ตายไม่ได้ ถ้าตายไม่ได้ยังไม่ถึงเวลาจะตายต้องหัวแตก 7 เสี่ยง ก็เจ็บแย่ใช่ไหมล่ะ ไม่ได้การเราจะไม่ยอมให้มีโทษอย่างนี้ จึงเนรมิตขนมทิพย์ใส่ให้เต็มถาด พอคนใช้นำขนมไม่มีไปให้ ท่านก็เปิดฝาดู กลิ่นมันก็หอม หอมกว่าขนมธรรมดา เวลากินก็อร่อยกว่าขนมธรรมดา ลิ้นชุ่มชื่น ก็แบ่งให้เพื่อนกิน...

พอตอนเย็นท่านกลับมาบ้านก็ถามแม่ว่า..."เจ้าแม่...วันก่อนๆ แม่ไม่เคยรักลูกเท่าวันนี้หรือ...?"...
แม่ก็ถามว่า...ยังไง...บอกว่าขนมไม่มี ทำไมแม่ไม่เคยทำให้กินเลยล่ะ ทำขนมอย่างอื่นให้กินมันอร่อยเท่าขนมไม่มีไม่ได้  แม่เลยสอบสวนถามว่าเรื่องความเป็นยังไง ท่านบอกว่าถาดที่ให้ไปขนมมันเต็มหมด กลิ่นมันก็หอมยวนใจอยากจะกิน กินแล้วก็อร่อยมาก ทีนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขนมอื่นไม่กินนะแม่นะ ขอกินขนมไม่มีอย่างเดียว...ก็รวมความว่าแม่สบาย เทวดาทำทุกวัน ท่านก็ล่อขนมไม่มีทุกวัน นี่อธิษฐานบารมีนะ อย่าลืมนะ คำว่าอธิษฐานบารมีก็คือตั้งใจไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้จำไว้ ถ้าพูดถึงบารมี บอกแหม...มันยากเหลือเกินๆ ความจริงไม่ยาก ถ้าโง่มาก จะยากมาก โง่น้อย ยากน้อย ฉลาดมาก ง่ายมาก ฉลาดน้อยก็เรียกว่าง่ายน้อยลงไป

กัลยาณมิตรท่านใดที่ยังไม่เคยทราบเรื่องราวแบบนี้มาก่อนก็ลองนำพระธรรมเทศนาขององค์หลวงพ่อท่านไปประพฤติปฏิบัติกันดูนะครับ ไม่ยากไม่เย็นอะไรเลย เพียงแต่ค่อยๆฝึกค่อยๆทำ ความคล่องตัวก็จะได้เกิดขึ้น...หลังทำบุญกุศลทุกๆครั้ง ตั้งจิตอธิษฐานทันที...ต้องการ หรือปรารถนาสิ่งใดอันประเสริฐ...ในทุกภพทุกชาตินับจากนี้ ก่อนจะถึงซึ่งพระนิพพาน ก็จัดไปครับ...ดังนั้น...อธิษฐานบารมี...คือ 1 ในทศบารมีที่ไม่ควรมองข้าม...!!!

ที่มา : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 21

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ปาฏิหาริย์...เกิดขึ้นได้เสมอ...ถ้าหัวใจไม่ยอมแพ้...!!!

          ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วสมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด ความผิดหวัง หรือความสมหวังย่อมสามารถเกิดกับเราได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่หัวใจยังคงเรียกร้องและใฝ่หาอะไรบางอย่าง...หลายคนทุ่มเทจิตใจให้กับมันแบบสุดกำลัง แล้วคิดไปว่า...มันจะต้องสำเร็จตามความประสงค์โดยลืมคิดถึงลักษณะของเหรียญที่จะต้องมี "สองด้าน" เสมอ...นั่นคือ เมื่อด้านหนึ่งถูกสลักไว้ว่ามันคือ "ความสำเร็จสมหวัง"... อีกด้านที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามย่อมมีความหมายว่า "ผิดหวัง"...โดยมีความหนาของเหรียญเป็นตัวกันไว้...ไม่ว่าในวันนี้เราจะยืนอยู่ฝั่งไหนของเหรียญก็ตาม แค่พลิกเหรียญทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด...หากในเวลานี้ เรารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน จมปรักอยู่กับความผิดหวังตลอดเวลา กำลังกายที่เคยมีกลับถดถอยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ...แต่ถ้ากำลังใจของเรายังคงเต็มเปี่ยม มันก็เพียงพอสำหรับการพลิกเหรียญ..."ปาฏิหาริย์"...เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าหัวใจของเรา...ไม่ยอมแพ้...!!!



ผู้เขียนได้มีโอกาสดูซีรี่ย์ของเกาหลีอยู่เรื่องหนึ่งชื่อว่า "ยอดเชฟสาว หัวใจทรนง"...ทางช่อง 3 แฟมิลี่...รู้สึกติดใจในเนื้อหา อดทนรอดูทางทีวีไม่ไหว เลยไปค้นดูเรื่องที่ว่านี้ในอินเตอร์เน็ต...เมื่อพบแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาดูจนจบ เนื้อหาของเรื่องคร่าวๆ เป็นการแก่งแย่งตำแหน่งหัวหน้าเชฟตั้งแต่รุ่นแม่จนมาถึงรุ่นลูก แทบทั้งเรื่องถูกสอดแทรกไว้ด้วยความเป็นเกาหลีมากมายหลายด้าน อาทิเช่น ด้านครอบครัว ด้านอาหาร และด้านวัฒนธรรม...ผู้เขียนไม่มีความรู้ในการวิจารย์บทละคร หรือในด้านโปรดักชั่นต่างๆ แค่มีความรู้สึกว่าดูแล้วชอบ เลยอยากนำมาบอกเล่า...เหมือนกับที่มีท่านผู้รู้ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า..."เมื่อดูหนังดูละคร ให้ย้อนมาดูตัว"...ซี่รี่เรื่องนี้ให้อะไรกับคนดูมากมาย...เช่น

ในด้านครอบครัว...ทำให้เห็นมุมมองของคนเกาหลีปฏิบัติต่อผู้ที่สูงวัยกว่า ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกหลานจะให้ความเคารพเชื่อฟัง อ่อนน้อมถ่อมตน มีความรักความผูกพันในครอบครัว ทำให้ผู้ดูรู้สึกมีความอบอุ่นไปด้วย...

ในด้านอาหาร...เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการปรุงอาหารของคนเกาหลี ซึ่งเขาพยายามถ่ายทอดออกมาให้น่าพิสูจน์ น่าลิ้มลอง แม้ว่าผู้ดูทั้งหลายอาจจะไม่รู้จักมักคุ้นว่าอาหารเหล่านั้นมันมีรสชาดเป็นเช่นไร

ในด้านวัฒนธรรม...การแต่งกายด้วยความมีเอกลักษณ์ ดูแล้วสวยสง่าในแบบของเขา มีอะไรแบบนี้ให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง...

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจสงสัยว่าบทความนี้กำลังจะบอกอะไรถึงได้เอาประเด็นเนื้อหาของซีรี่ย์เกาหลีเรื่องนี้มาโยง...ครับ ตัวละครที่เป็นนางเอกของเรื่อง ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมาย ความกดดันต่างๆที่ถาโถมเข้ามา การที่ตัวเธอได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากบุคคลที่ไม่เป็นมิตร ถูกรังแกมากมายสารพัด ต้องดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตเพื่อเลี้ยงตัวและพ่อบุญธรรม ในขณะเดียวกัน ตัวเธอก็มีความฝันในด้านที่เธอถนัด คือการปรุงอาหาร...ความบากบั่น ความไม่ย่อท้อของตัวละครที่เป็นนางเอก...จนในวันหนึ่งเธอก็ได้รับการยอมรับ และประสบกับความสำเร็จ...

ใช่ครับ มันคือละคร คนเขียนบทจะเขียนให้ออกมาน้ำเน่าแค่ไหนก็ได้ แต่ในท้ายที่สุด นางเอกก็คือนางเอก...แต่ประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อคือ...ความอดทน อดกลั้น ความมุ่งมั่นของจิตใจ... ไม่มีใครรู้หรอกนะครับว่า...เมื่อเราเต็มที่กับมันแล้วเรายังจะประสบความสำเร็จเหมือนที่เราได้ตั้งความหวังเอาไว้หรือไม่...อย่างน้อยถ้าหัวใจของเราไม่คิดจะยอมแพ้...ประตูแห่งความสำเร็จจะไม่ถูกปิดลง ดังนั้นคำว่า "ปาฏิหาริย์"...ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ...ถ้าไม่ใช่นักธรรมจ๋าจนเกินไป...การเสียเวลานั่งดูหนังดูละคร มันก็ให้มุมมองที่ดีกับเราเสมอ...ถ้าเราพิจารณาเป็น...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

"พึ่งตนเอง"...เสียงธรรมจากป่า...หลวงปู่ดูลย์ อตุโล...!!!

          ครั้งนั้น ณ วัดบูรพาราม เมืองสุรินทร์ พึ่งเริ่มบุกเบิกสร้างขึ้นมาใหม่ๆก่อนสงครามโลกหลายปี บ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้...ปีนั้น พระภิกษุ สามเณร ที่อยู่จำพรรษากับหลวงปู่มีอยู่หลายองค์ และที่เป็นสามเณรน้อยในจำนวนนี้ได้มี ...สามเณรโชติ (หลวงปู่โชติ)...สามเณรอ่อน (หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ)...สามเณรปิ่น (อธิบดีปิ่น มุทุกัณฑ์)...

ในวันที่หลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้พระภิกษุสามเณรหัดทำกลดและขาตั้งบาตรด้วยไม้ไผ่ขึ้นมาใช้เอง  ในความรู้เบื้องต้นหลวงปู่ดูลย์ท่านได้สอนโดยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แบบละเอียดยิบไม่ตกไม่หล่น  หลวงปู่ท่านนั่งอยู่หัวแถวหมู่ผู้เป็นศิษย์ ทั้งภิกษุสามเณรได้มานั่งหันหน้าเข้าหากันต่อๆกันไปเป็นแถวยาวเฟื้อย...หลวงปู่ที่อยู่หัวแถว จะยกวัสดุไม้ไผ่ที่เหลาเรียบร้อยพร้อมที่จะนำมาใช้ ยกชูสูงขึ้นเหนือศีรษะให้พระเณรทั้งหลายได้เห็นกันทั่วทุกองค์ เสร็จแล้วหลวงปู่ท่านก็ได้เริ่มในขั้นตอนลงมือทำ...

หลวงปู่ได้ให้ความรู้แก่บรรดาพระเณรทั้งหลาย ต้องทำอย่างไร? หลวงปู่ได้สอนไปพร้อมๆกับลงมือทำให้ดูไปด้วยเป็นขั้นเป็นตอน แบบนี้...แบบนั้น...หลังจากนั้นหลวงปู่ท่านก็อยู่ในอาการ...เงียบฉี่!...หลวงปู่ท่านจะสอนศิษย์ไม่เหมือนใคร และใครก็ไม่เหมือนกับหลวงปู่ ตรงที่ลงว่าได้เงียบฉี่แล้ว หลวงปู่ท่านก็จะเงียบจริงๆ และนิ่งเงียบตลอดไป...



วันหนึ่ง...หลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว พระเณรได้ล้างบาตร ปัดกวาดถูหอฉันเสร็จเป็นที่เรียบร้อย หลวงปู่ท่านได้นั่งอยู่บนอาสนะยกพืื้นสูงดูแลพระเณรปฏิบัติกิจวัตร  เสร็จจากกิจเช้าวันนั้น สามเณรน้อยวัย 10 กว่าขวบ ที่ได้อยู่ระหว่างฝึกทำขาตั้งบาตรด้วยไม้ไผ่ได้มานั่งทำต่อหน้าหลวงปู่มีจำนวนทั้งหมด 3 องค์...และทั้งหมดได้ทุ่มเถียงกันในเชิงไต่ถามกันไปมา แล้วในที่สุดก็หาข้อยุติไม่ได้  สามเณรทั้งหมดจึงพากันเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลวงปู่ พร้อมกับเอ่ยกราบเรียนถาม...
"หลวงปู่ครับ...ทำยังไงครับ?"...
".........................................."....
หลวงปู่นั่งดูเฉยๆ...เงียบฉี่!...สามเณรทั้ง 3 องค์ก้มหน้าก้มตาทำต่อไป แต่ก็ยังปรากฏเสียงทุ่มเถียงกันไปทุ่มเถียงกันมาไม่หยุด...
"หลวงปู่ครับ...ทำยังไงครับ?...
".........................................."...
"หลวงปู่ครับ...ทำยังไงครับ?....
".........................................."...
"หลวงปู่....หลวงปู๊ปู๊ปู๊....ทำยังไง?...
".................................................."...
แต่หลวงปู่...ยังคงนั่งเฉย...!...

พลันนั้น สามเณรน้อยทั้งหมดพากันโกรธหลวงปู่งอนตุ๊บป่อง พากันลุกพรวดพราดขึ้นแล้วเดินลงส้นกับพื้นศาลาหอฉันเสียงดังสนั่นตึง...ตึง...ลงศาลาหายเงียบไป...วันนั้นตลอดทั้งวัน ปรากฏว่าสามเณรได้พากันยั้๊วะโกรธหลวงปู่ งอนหน้างอเป็นม้าหมากรุก...รุ่งขึ้นเช้า สามเณรทั้ง 3 นั้นยังคงไม่หายงอน ทำหน้างอเดินอุ้มบาตรตามหลวงปู่ออกจากประตูวัด...หลวงปู่ได้พาสามเณรน้อยผู้เป็นศิษย์เดินไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง...บ้านหลังนี้ใส่บาตรประจำทุกเช้าและมีลูกสาววัยรุ่น ที่ตอนนี้กำลังตำน้ำพริกอยู่ทางหลังบ้านเสียงดังโปกๆ รัวถี่ยิบเป็นข้าวตอกแตก ขณะที่ผู้เป็นแม่ถือขันใส่ข้าวก้าวลงจากบันไดตรงเข้ามาหาพระ...แต่เดินมาได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้นผู้เป็นแม่ต้องชะงักเท้า หยุดกึก!... ลงทันทีที่ได้ยินเสียงผู้เป็นลูกสาวได้ตะโกนถามมาเสียงดังโหวงๆ...
"แม่ ...แม่...แม๊....แกงส้มใส่กะปิไหม?"...
นาทีนั้นผู้เป็นแม่ได้หันไปตะโกนด่าลูกสาวเสียงดังโหวกเหวก...
"อีห่ากิน...ถ้าแม่ตายแล้ว...มึงจะถามใคร?"...
พลันนั้น...หลวงปู่ที่อยู่หัวแถว ได้ค่อยๆปรายหางตาเหลียวไปมองหมู่สามเณร...สามเณรทั้ง 3 องค์ พากันสะดุ้งโหยง!!!...สามเณรน้อยพากันอุ้มบาตรเดินตามหลังหลวงปู่ต้อยๆด้วยอาการเขินจึงทำเป็นเดินกระมิดกระเมี้ยน ก้มหน้าแกล้งดูมดดำมดแดงที่ไต่อยู่ตามพื้นดิน...โดยมี หลวงปู่พระป่า ผู้เฒ่าเดินซ่อนยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดทางจนถึงวัด...

นี่เอง...ธรรมะที่หลวงปู่ได้เมตตาแสดงให้ลูกศิษย์ตั้งแต่วันที่ได้เริ่มสอนทั้งการทำกลดและขาตั้งบาตร...รวมไปถึงการที่หลวงปู่นิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามใดๆ...เพื่อให้บรรดาเหล่าสามเณรน้อยๆ ได้พึ่งพาตนเองให้มากๆ...เพราะความรู้ที่หลวงปู่ถ่ายทอดให้นั้น ก็เป็นที่ละเอียดทุกขั้นตอนดีแล้ว...เมื่อพิจารณาธรรมะที่ได้นี้ โดยการนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน...การพึ่งพาตนเอง จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักถึง เพราะหากพึ่งพาตนเองไม่เป็นแล้ว...คงไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าให้เราต้องพึ่งพาอาศัยได้ตลอดไป...กราบสาธุธรรมของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล...ด้วยขอครับ...สาธุ สาธุ สาธุ...!!!

ที่มา : หนังสือ เสียงธรรมจากพระป่า "หลวงปู่ดลย์ อตุโล"...โดย บัว ปากช่อง

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

เรารักษาศีล...ศีลรักษาเรา...!!!

          ท่านว่าโอกาสที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ช่างลำบากยากเย็นจริงๆ...เปรียบไปก็เหมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีห่วงยางกลมลอยอยู่กลางน้ำ ขนาดของมันก็แค่ให้หัวของเต่าทะเลตัวหนึ่งซึ่ง 100 ปี จะขึ้นมาหายใจเหนือน้ำสักครั้ง โผล่ลอดตรงกลางห่วงพอดิบพอดี...เมื่อนั่งนึกตามจึงได้เข้าใจว่าการที่ใครสักคนจะได้รับโอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์...แสนยากยิ่ง!...การเป็นมนุษย์โชคดีอย่างไร ทำไมแม้แต่เทวดาท่านยังอิจฉา...เพราะมนุษย์มีร่างกายที่เราเรียกกันว่า "ขันธ์ 5"...มี "อายาตนะ 6"... ครบถ้วน เหมาะสมกับการบำเพ็ญบารมีขั้นสูง นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไม?...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จึงต้องมาบำเพ็ญเพียรในดินแดนแห่งความเป็นมนุษย์...จนถึงวาระ "ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ"...เป็นพระพุทธเจ้า ในขณะที่การเกิดเป็นเทวดา เป็นผลมาจากกรรมดีในอดีตมาสนอง โอกาสในการสร้างบุญสร้างกุศลมีน้อยกว่าความมนุษย์นั่นเอง...

เมื่อโชควาสนาหล่นใส่เท้า...ดังโครม! เช่นนี้แล้ว...ใยจะมัวรอช้ากันอยู่อีก เรามาหยอดกระปุกบุญส่วนตัวกันดีกว่า  ในบทความนี้ผู้เขียนจะได้พูดถึงเรื่องของศีลให้กับผู้ที่เริ่มสนใจที่จะหันเหชีวิตในแบบเดิมๆเข้าไปสู่ความดีที่สูงขึ้นไป ท่านผู้รู้ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า "การทำบุญในพระพุทธศาสนาของพวกเรานั้น แบ่งได้เป็น 3 ระดับ"...ดังนี้..

1.การให้ทาน
2.การรักษาศีล
3.การเจริญสมาธิภาวนา

นั่นหมายความว่า "การให้ทาน" เป็นสิ่งดี ทำแล้วย่อมได้บุญ แต่บุญนั้นยังไม่สามารถไปเทียบกับ "การรักษาศีล"ได้ ยิ่งถ้าใครได้ทำบุญด้วยการ "เจริญสมาธิภาวนา"...อันนี้ถือเป็นบุญขั้นสูงสุด เยี่ยมที่สุด ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดก็ว่าได้ เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า..."การทำบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฝ่ายทาน คือ อภัยทาน แม้ได้ทำถึง 100 ครั้ง บุญก็สู้การรักษาศีล 5 แม้เพียงครั้งเดียวไม่ได้...ส่วนบุญที่สูงที่สุดในฝ่ายศีล คือ การที่บวชเป็นพระ รักษาศีลครบทั้ง 227 ข้อไม่ด่างไม่พร้อย เป็นเวลาถึง 100 ปี บุญกุศลที่ได้รับก็ยังน้อยกว่าการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่ทำให้จิตสงบ ในเวลาเพียงสั้นๆ ที่เรียกว่า ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น"...

การทำบุญให้ทานไม่ได้หมายถึงการใส่บาตรพระอย่างเดียว การให้ทั้งหมด จะด้วยการสละทรัพย์เพื่อลดความตะหนี่ ให้เพราะความมีเมตตา ให้เพราะต้องการให้เขามีความสุข ช่วยถือของให้ผู้สูงอายุ รินน้ำให้คุณพ่อคุณแม่ดื่ม หรือขั้นสูงสุดของทาน คือ การให้อภัย...เหล่านี้ก็คือการทำบุญในฝ่ายของทานทั้งสิ้น... ผู้เขียนเชื่อว่าพวกเราทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดว่านั่นคือบุญ... สำหรับในตอนนี้มีบุญขั้นที่สูงกว่าการให้ทานดังที่ผู้เขียนเกริ่นให้ทราบไปแล้ว นั่นคือ "การรักษาศีล"...สำหรับศีลในทางพระพุทธศาสนา แบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ ดังต่อไปนี้...



1.ศีล 5 : เป็นพื้นฐานของศีลทั้งหมด และมีความเหมาะสมที่สุดกับชาวบ้านธรรมดาแบบเราๆท่านๆ
2.ศีล 8 : เป็นศีลขั้นที่สูงกว่าศีล 5 เน้นที่การไม่เสพกาม เหมาะสำหรับผู้ต้องการความสงบ ไม่วุ่นวาย
3.ศีล 10 : เป็นศีลสำหรับ สามเณร ในพระพุทธศาสนา
4.ศีล 227 : เป็นศีลสำหรับ พระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา
5.ศีล 311 : เป็นศีลของ พระภิกษุณี ในพระพุทธศาสนา

บทความนี้ผู้เขียนคงจะนำเพียง "ศีล 5" ได้มาบอกกล่าวให้กับท่านที่ยังไม่เคยรู้...ได้รู้ว่า ศีลทั้ง 5 ข้อ มีข้อห้าม ข้อกำหนดอะไรบ้าง...

ศีล 5 :
1.ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการฆ่า เบียดเบียนชีวิตสัตว์ทั้งหลาย
2.อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการหยิบฉวย ทรัพย์สมบัติที่มีเจ้าของ นำมาเป็นของเรา โดยที่ผู้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นมิได้อนุญาต
3.กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ผิดลูก ผิดภรรยา ผิดสามีของผู้อื่น
4.มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการพูดโกหก หลอกลวง
5.สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย ซึ่งทำให้ขาดสติ

สำหรับผู้ที่เริ่มสนใจจะเข้ามาประพฤติปฏิบัติตนโดยการรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ ผู้เขียนก็ขออนุโมทนาสาธุในบุญของทุกท่าน การเตรียมความพร้อมก็คงอยู่ที่หัวใจของเรานั่นแหละ จากคนที่ไร้ศีลจะมารักษาศีล มันก็ลำบากพอดูในขั้นเริ่มต้น จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนเอง ในตอนแรกเราก็ต้องใช้การสมาทานศีลก่อน อย่างน้อยก็ได้ท่องให้ขึ้นใจ ได้ผ่านสายตา เรียงลำดับข้อให้ถูก 1 2 3 4 5 ท่านว่าไว้อย่างไรบ้าง เมื่อสมาทานศีลแล้วก็อยู่ในขั้นตอนการรักษาตามสัจจะที่เราตั้งไว้ คนใหม่ๆคงมีบ้างที่อาจเผลอไปทำให้ศีลขาดทะลุเป็นรูโหว่...เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจถึงกับขวัญเสีย อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป...พระพุทธเจ้าท่านทรงไม่ให้จำในเรื่องไม่ดี...เมื่อมันขาด มันทะลุ เราก็ไปสมาทานศีลใหม่...เพียงแต่ว่า เราเองอย่าไปตั้งใจทำให้ศีลขาด...จริงอยู่ เมื่อศีลขาดไปแล้ว เราก็สมาทานใหม่ได้ แต่อยากจะบอกว่า...ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการหลอกตัวเองไปเป็นครั้งคราว...แล้วเมื่อไร ศีลที่เรารักษาจะทรงตัวล่ะ...คำว่าศีลทรงตัว ตามความเข้าใจของผู้เขียน เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเข้ามา...จิตที่เข้าถึงศีลแล้ว มันจะอัตโนมัติในการตรวจพิจารณา คือการนึกถึงศีลเป็นอันดับแรก ว่าถ้าต้องทำสิ่งนั้น จะขัดกับศีลที่เรารักษามั้ย ถ้าขัด เราก็เลี่ยงซะ...อะไรแบบนี้ แต่ถ้าศีลยังไม่ทรงตัว จิตมันจะลืม หรือที่เรียกว่าเผลอนั่นแหละ พอทำไปแล้วถึงมานึกได้ว่า "อ้าว!...ผิดศีลนี่หว่า"...

เมื่อศีลทรงตัวอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว นั่นคือการที่เราได้รักษาศีล...เราเป็นชาวพุทธ เราก็ต้องเชื่อในพระบรมศาสดาของเรา...พระองค์ทรงสอนให้พวกเรารักษาศีล อย่างน้อยก็ศีล 5 เป็นศีลที่เหมาะสมแก่การครองเรือน ถ้าศีลดีแล้ว ทรงตัวแล้ว ไม่ด่างไม่พร้อย ไม่ขาดทะลุ ก็เป็นหนทางในการปิดอบายภูมิเป็นการถาวร...เปรียบไปแล้วนั่นก็คือ การที่เราตั้งหน้าตั้งตา รักษาศีล ก็เพื่อให้ ศีลรักษาเรา ไม่ให้เราต้องตกไปที่ต่ำ...ชั่วกัลปาวสาน...นั่นเอง...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story





วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรม...กรรมทันตาเห็น...!!!

          ที่หมู่บ้านเชิงเขาหิมาลัย ยังมีพรานไพรอาศัยอยู่หลายครอบครัว หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ ครอบครัวของนายพรานวัยกลางคนครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเขามีความสามารถในการล่าสัตว์เก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นกวาง เลียงผา หรือหมูป่าก็ตาม แถมยังมีสุนัขล่าเนื้อพันธุ์ดุที่เลี้ยงไว้อีก 5 ตัว เขาจะออกล่าสัตว์ทุกวัน เข้ากับคำที่ว่า "วันโกนก็ไม่ละ วันพระก็ไม่เว้น"...วัดวาอารามพระสงฆ์สมณะหน้าตาเป็นอย่างไร เขาไม่สนเลย...วันหนึ่งเขาตั้งใจจะเข้าไปล่าสัตว์ในป่าใหญ๋ จึงรีบออกเดินทางจากหมู่บ้านแต่เช้าตรู่ ในขณะที่เขากำลังเดินทางไปสู่ป่าใหญ่นั้น พอดีเดินสวนทางกับพระที่เข้ามาบิณฑบาตในหมู่บ้าน ทันทีที่เขาเห็นก็นึกในใจว่า "วันนี้ สงสัยกูซวยแน่ๆ"...เพราะเขาไม่ชอบทำบุญทำทาน เห็นพระเป็นตัวขัดโชคลาภ เป็นตัวซวย...

และวันนั้นก็ประจวบเหมาะจริงๆ ไม่รู้สัตว์ต่างๆมันหายไปไหนหมด นายพรานเที่ยวไปหาตลอดทั้งวันจนบ่าย ก็ไม่พบสัตว์สักตัวเดียว เขาจึงต้องกลับบ้านมือเปล่า ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นเลย พอคิดไปคิดมา เขาก็ยกความผิดทั้งหมดไปให้กับพระที่เดินสวนทางกับเขาเมื่อตอนเช้า พร้อมบ่นอยู่ในใจว่า "กูว่าแล้ว วันนี้ต้องซวยแน่ๆ"...เลยผูกจิตอาฆาตพยาบาทในตัวพระทันที..

วันต่อมา นายพรานก็ลุกขึ้นแต่เช้ามืด เพื่ออกไปล่าสัตว์ ในขณะที่เดินทางไปก็เดินสวนทางกับพระที่เข้ามาบิณฑบาตอีก เขาเกิดอารมณ์เสีย นึกในใจว่า "เมื่อวานเจอมันก็ล่าสัตว์ไม่ได้สักตัว ซวยทั้งวัน วันนี้เจอมันอีก คงซวยอีกแล้วกู เพราะมันแท้ๆ"...คิดไปบ่นไปในขณะที่เดินทางกลับบ้าน...วันนี้ไม่รู้เป็นคราวเคราะห์ของพระหรือของนายพรานกันแน่ ที่ทั้งสองต้องเดินทางมาพบกันในระหว่างทางอีก เพราะมีผู้มีจิตศรัทธานิมนต์พระฉันภายในบ้านของตนเอง สนทนาธรรมกันจนเย็นจึงเดินทางกลับ ในขณะที่เดินทางกลับก็มาพบกับนายพรานพอดี ทันทีที่นายพรานเห็นพระ ก็คิดในใจพร้อมผูกจิตอาฆาตพยาบาทว่า "เมื่อวานเจอมันก็ไม่ได้อะไร วันนี้เจอมันอีกครั้งก็ซวยไม่เลิก จะต้องยุให้สุนัขไล่กัดมันเสียให้เข็ด"...พร้อมกันนั้นก็ปรบมือให้สัญญาณแก่เหล่าสุนัขล่าเนื้อให้เกิดความฮึกเหิม พร้อมตะโกนเสียงดังๆว่า "ไล่กัดมันเลย ไล่กัดมันเลย"...



บรรดาสุนัขเมื่อได้ยินเสียงเจ้านายให้สัญญาณต่างก็วิ่งแยกเขี้ยวเข้าหาพระในทันที พระเห็นสุนัขวิ่งมามุ่งร้ายต่อตนก็นึกถึงหลวงพ่อโกยวัดหน้าตั้ง...แลซ้ายแลขวา เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นึกถึงต้นไม้ สะระณัง คัจฉามิ มีต้นไม้เป็นที่พึ่งแล้ว จึงรีบปีนขึ้นต้นไม้ นั่งห้อยขาพักเหนื่อยอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่กิ่งหนึ่ง พวกสุนัขก็วิ่งไล่กระโดดกัด กัดอย่างไรก็ไม่ถึง จึงพากันยืนเห่าอยู่ใต้ต้นไม้...นายพรานวิ่งตามสุนัขมา เห็นพวกมันยืนเห่าอยู่ใต้ต้นไม้ พอแหงนดูข้างบนเห็นพระนั่งห้อยขาอยู่ นึกไปนึกมาไม่สมใจแค้นที่พระไม่ถูกสุนัขรุมกัด จึงคว้าเอาลูกศรทิ่มตรงฝ่าเท้าของพระให้ได้รับความเจ็บปวดทรมาน พระก็สลับเท้าซ้ายขวา นายพรานก็ทิ่มสลับข้างซ้ายขวา พระได้รับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดอย่างมาก เผลอสติปล่อยจีวรที่ห่มหล่นลงมาข้างล่าง คลุมที่ตัวนายพรานพอดี  ฝูงสุนัขเข้าใจว่าเป็นพระร่วงลงมาจากต้นไม้ จึงพากันรุมเข้าไปกัดนายของตนเองจนตาย พระมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดธรรมสังเวช หาทางลงจากต้นไม้ มองดูฝูงสุนัขที่ยืนดูซากศพของนายพรานที่จีวรคลุมอยู่ จึงหักกิ่งไม้โยนลงไปไล่ฝูงสุนัข ฝูงสุนัขแหงนดูข้างบนต้นไม้เห็นพระยังอยู่ รู้ว่าคนที่พวกมันรุมกัดคือเจ้านายของตนเอง จึงพากันวิ่งหนี...

คติธรรมนำชีวิต
ผู้ใดทำร้ายหรือให้ร้าย
ผู้ไม่มุ่งร้ายใคร  ผู้มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์
ผู้นั้นมักจะได้รับผลกรรมทันตาเห็น
เช่นเดียวกับนายพรานใจโฉด

ที่มา : หนังสือชื่อ 22 เรื่องประเทืองปัญญา โดย ทิวากราภัทท์

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

สมาธิ...สำคัญไฉน!...ที่นี่มีคำตอบ...!!!

          ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ครั้งนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2525  ประมาณต้นเดือนเมษายน ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ร่วมเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ด้วยการเข้าโครงการบรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ตอนนั้นมีอายุเพียง 12 ขวบ ถ้าจำไม่ผิดจะมียุวชนจากโรงเรียนต่างๆเข้าร่วมโครงการนี้ประมาณ 97 คน...ถึงแม้จะผ่านล่วงเลยมาถึง 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำบางส่วนก็ยังคงติดตรึงอยู่ภายในใจ ไม่เคยลบเลือนหายไปไหน หลายสิ่งหลายอย่างที่พระอาจารย์ทั้งหลายท่านได้สอนสั่ง ผู้เขียนก็รู้มั่งไม่รู้มั่ง เพราะความที่เป็นเด็ก กลางวันก็เรียนหนังสือ โดยเน้นหนักที่ "พุทธประวัติ" ...สลับกับการปฏิบัติโดยการเดินจงกลมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง...การนั่งสมาธิในตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้น เพราะต้องนั่งอยู่ต่อหน้าโครงกระดูก พระอาจารย์ก็พูดสอนวิธีการของท่านไป ผู้เขียนและสามเณรอื่นๆก็ปฏิบัติตามเป็นแบบนี้ทุกวัน อาจมีสลับสับเปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นการฝึกท่อง "ศาสนสุภาษิต" บ้างก็มี...เขามีสอบท่องด้วยนะ ให้ท่องตั้งแต่ ข้อที่1 ถึง 50 ต้องเรียงลำดับให้ถูก ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่ผ่าน...ตลอด 30 ปีเศษ ผู้เขียนรู้จักการนั่งสมาธิ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ความหมายของการนั่งสมาธิ...เขาทำกันไปเพื่ออะไร?...สำหรับในบทความนี้ ตัวผู้เขียนมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานที่สุด ด้วยการเทศน์ธรรมะต่างๆขององค์หลวงพ่อรู้สึกถูกตาต้องใจของผู้เขียนเป็นอันมาก ทั้งหนังสือ ทั้งซีดี ก็เลยฟังแต่ขององค์หลวงพ่อท่าน 70-80% ก็ว่าได้...ดังนั้นในบทความนี้จึงได้อัญเชิญพระธรรมเทศนาบางส่วนที่องค์หลวงพ่อท่านได้พูดไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งผู้เขียนจะบอกที่มาไว้ในตอนท้าย นำมาเสนอให้ผู้ที่สนใจใคร่รู้ได้อ่านกัน...ดังนี้...!!!

http://dharmaishere.blogspot.com


อย่างที่เราทำความดี คำว่า "สมาธิ" นี่ ก็สมาธิทั้งหมดนั่นแหละ คนตั้งใจไปใส่บาตรพระ เริ่มตั้งใจก็เป็นสมาธิใน "จาคานุสสติ"...เพราะ "สมาธิ แปลว่า ตั้งใจ"...เวลาใส่บาตรพระอยู่ ก็เป็นสมาธิในทานการบริจาคใช่ไหม ตั้งใจรักษาศีล ก็มีสมาธิใน "สีลานุสสติ"...ตั้งใจฟังเทศน์จบหนึ่ง ใจอาจจะลอยไปบ้าง อะไรบ้าง ขณะที่ตั้งใจอยู่ทั้งหมด "ขณะใดที่ตั้งใจทำความดีอยู่ ขณะนั้นจิตว่างจากกิเลส"...เห็นไหม! มันว่าง มันได้ตรงนี้ตะหากล่ะ จะเสือกไปเอาเหาะได้...เหาะได้มันไม่ยาก...!

ที่แรกก็หัดเหาะลงก่อน ขึ้นยอดต้นตาล เอาย่อมๆนะ พอเหาะลงได้ก็เหาะขึ้นได้ พอเป็นผีแล้วเหาะขึ้นได้เลย (หัวเราะ) อย่าไปขึ้นยอดหลังคา ไม่แน่ บางทีมันแค่ขาหัก เอาขึ้นยอดต้นตาล สูง เหาะลงปุ๊บ ตายโหงปั๊บ! พอเป็นผีก็เหาะได้ เหาะขึ้นได้ อยากเหาะลงไหม ใครจะไปเหาะก็เอานะ!...

"ไอ้นี่ความจริงความดีของการทำความดีทุกขณะมันเกิดผล"...จิตที่ว่างจากกิเลสนิดหนึ่ง ชั่ว 2-3 นาที 1 นาที 2 นาที 3 นาที ก็ตามนะ บางทีถ้าเขาเทศน์ถูกใจฟังเพลินๆอาจจะถึง 5 นาที 10 นาที จิตมันจะแวบออกไปนิดหนึ่งใช่ไหม บางครั้งที่เราตั้งใจบูชาพระ อาจจะดีจริงๆ จิตว่างจริงๆ สักนาทีสองนาที อีตอนว่างนิดหนึ่งต้องถือว่าดี   ต้องดูพระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า...

"สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดมีจิตว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง วันหนึ่งนะเอาชั่วขณะจิตเดียว แวบเดียว เรากล่าวว่าบุคคลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาณ"...

แล้วก็อีตรงที่จิตเรามีกำลังดีสูงขนาดไหนก็ตาม มันแวบเดียว อย่าลืมว่าฝ่ายจด เขาจะจดที่จุดนั้นนะ...อย่างที่นั่งกรรมฐานวันหนึ่งชั่วโมงหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งนี่เอาเรื่องไม่ได้เลย มันก็ดี แต่ว่าดีเล็กๆน้อยๆ ศรัทธามี ตัวศรัทธามันดีแล้วใช่ไหม ทำไปจิตก็วอกแวกๆ ส่ายไปโน่น ส่ายมานี่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง "แต่ว่าอีตอนดีนิดเดียว คือจิตว่างจากกิเลส เขาจดตอนนั้นทันที"...ถ้าจิตถึงที่สุด ถึงปฐมฌาณ สอง สาม สี่ ฌาณไหนก็ตาม แวบเดียว แค่วินาทีเดียว เขาจดว่าคนนี้มีอารมณ์ถึงฌาณสี่ หรือฌาณหนึ่ง ฌาณสอง ฌาณสาม ฉันรู้เพราะอะไร ฉันรู้เพราะฉันถามเขาเรื่อย...เมื่อก่อนนี้พอเจริญกรรมฐานปั๊บ เราก็ดูนายบัญชี นายบัญชีขึ้นมา ถ้านุ่งแดงใส่แดงธรรมดา พระภูมิเทวดา การเจริญกรรมฐานชุดนี้ไม่มีหรอก เท่าที่เจริญกรรมฐานมา มาต้องแพรวพราวระยับ ชุดธรรมดานี่ไม่มี ชุดธรรมดานี่เขาจดทั่วๆไป นี่เราเทียบกันว่า ชุดธรรมดามาล่ะก็ วันนี้หาคนดีไม่ได้ มีก็ขี้หมาเหลือเกินนิดเดียว ใช่ไหม?...

แต่ว่าตั้งแต่ฉันสอนกรรมฐานมา นายบัญชีชุดแดงธรรมดา หรือภูมิเทวดานี่ไม่มี มาทีไรก็แต่งตัวแพรวพรึบเต็มตัวเลย ขั้นมหาอำมาตย์ ถ้าพวกนี้มาเขามุ่งจุดดีสูง เขาดูตามขั้นของคนนะ...มาวันหนึ่งฉันก็บันทึก บันทึกเสร็จก็ ...คนอย่างซอยสายลม มันน้อยเมื่อไร ซอยสายลมต้องรุ่นใหญ่นะ ใหญ่จริงๆ ไม่งั้น พระยายม มาเอง ข้างบนก็ลงมาเองขนาดหนัก อย่าง ปัญจสิกขะ ก็ดี ท้าวมหาชมภู ก็ดี ท่านคุมบัญชีใหญ่ฝ่ายสูง แล้วท่านมาถามว่าจดตรงไหน จดตรงดี เลยถามว่าวันนี้ใครมันดีขนาดไหน?...ท่านก็บอกไปนั่งที่ไหนมันไม่มีความหมายหรอก ยิ่งนั่งแอบ นี่เห็นชัด ไอ้คนแอบๆน่ะ  ไอ้แอบนี่ชัดมาก "คือเขาดูจิต ความเคลื่อนไหวของจิตนี่ เดี๋ยวเขาจะบันทึกตามนั้น"...ถามว่าเขาได้นิดเดียววันหนึ่ง มาวันหนึ่งนี่มันกี่ชั่วโมงก็ตาม แต่มันได้ช่วง 3 นาที 5 นาที นี่มันมีความหมายหรือ...ท่านบอกเขาต้องได้รับผลแน่นอน คนนั้นต้องได้รับผลอันนี้แน่นอน นั่นหมายความว่าถ้าตายลงไป สร้างบาปจิตเป็นอกุศล ลงนรกไปเลยใช่ไหม ลงก็ลงไป แต่บัญชีนี้ยังอยู่ ความดีของเขายังอยู่ ขึ้นมาจากนรกเมื่อไร ต้องมารับผลความดีนี้แน่นอน...ถ้าบังเอิญก่อนจะตาย เสือกลืมบาปใช่ไหม ไปนึกถึงบุญนิดเดียว ไปเกาะไอ้นี่มัน ไปทันทีเหมือนกัน นี่มันของไม่ยาก อ่านหนังสือยากแล้วไม่เข้าใจ นี่เราเจอะตัวจริงๆ เราเจอะความจริงกัน คือว่าหนังสือท่านอาจจะเขียน อาจจะมีที่ไหนก็ไม่ว่า แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่า...

"ให้ลืมความชั่วทุกอย่าง ที่ทำมาแล้วทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าความชั่วทุกอย่าง จงอย่ามีมันเลย อย่านึกถึงมันเลย นึกถึงความดีด้านเดียว"...

ทีนี้ไอ้ความชั่วมันจะตามไม่ทัน จิตนี่มันรับอารมณ์ๆเดียว อย่างคนไหนถ้าเรารัก คนนั้นดีทุกอย่าง ต้องตัดก่อน แล้วไม่นึกถึงความชั่วเลย จะศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เคยทำลายมาแล้ว ไม่ต้องนึกถึงมัน วันนี้ฉันเอาดีอย่างเดียว ฉันมีดีเท่านั้น นึกเลยว่าฉันมีแต่ความดี ไม่มีความเลว นึกตัวนี้ตัวเดียวนะ ปัจจุบันเราดี วันนี้เราดีอะไรบ้าง...เราสมาทานศีลแล้ว ศีล 5 เรามี สมาทานศีล 8 วันนี้ เรามีศีล 8 เริ่มทำสมาธิ วันนี้อารมณ์ฉันเป็นฌาณ อย่างเลวที่สุดฉันไปพรหม พวกได้ฌาณนี่ต้องไปพรหม..."ถ้าเรามุ่งตัดขันธ์ 5 คิดว่ามนุษย์โลกไม่ดี เทวโลก พรหมโลกไม่ดี เราต้องการนิพพาน"...นี่อารมณ์นิพพานของเรา เราต้องการนิพพาน จับอย่าจับต่ำให้จับสูง...เอาไว้ติดตามในตอนที่ 2 ดีกว่า...กลัวจะเบื่ออ่านกันเปล่าๆ...!!!

ที่มา : หนังสือรวมคำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

"ผีมีจริง" หรือเปล่า?...คำถามโลกแตกที่มีมาช้านาน (ตอนที่ 2) !!!

          มีใครได้อ่านตอนที่ 1 ไปแล้วบ้าง...ถ้าไม่เคยอ่านมาก่อนเดี๋ยวจะอ่านตอนที่ 2 ไม่รู้เรื่องนะจ๊ะ จะบอกให้...ก่อนจะเข้าเรื่องในตอนที่ 2 ผู้เขียนขออารัมภบทตามสไตล์คนช่างพูดสักเล็กน้อย เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมผู้หลักผู้ใหญ่ คนสมัยโบราณมักจะหลอกลูกเด็กเล็กแดงเกี่ยวกับเรื่องผีสาง ตอนเป็นเด็กเราก็กลัวซิ...ใช่ป่ะ พอตกกลางคืนเอาแล้ว เรื่องผีผี...เริ่มเข้ามาวนเวียนในสมอง ความมืด ความเงียบ มันทำให้สมองของเด็กมันเกิดการจินตนาการไปได้มากมาย ผีต้องมีรูปร่างหน้าตาแบบนั้น หรือแบบนี้ สร้างมโนภาพขึ้นมา สุดท้ายก็ฝังใจ...ส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยล่ะ คงเกิดจากที่เด็กกำลังอยู่ในวัยที่ซุกซน เดินไปโน่นไปนี่คนที่เป็นผู้ใหญ่ก็เหนื่อยที่จะตามหรือไม่ก็...เด็กตัวเล็กๆก็มักจะร้องไห้ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ในตอนนั้นคงจะนึกได้มุกเดียว คือ "อย่าเดินไปตรงนั้นนะ เดี๋ยวผีมาจับตัวไปหรอก"...หรือไม่ก็พูดว่า "อย่าร้องนะ เดี๋ยวผีได้ยินจะมาจับตัวไป"...แล้วก็ทำหน้าขึงขังให้ดูน่าหวาดกลัว ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นเด็ก กอปรกับเห็นทั้งสีหน้า แววตา ได้ยินน้ำเสียงที่ฟังแล้วน่าหวาดหวั่นของผู้พูด เมื่อเด็กเริ่มกลัว ก็จะวิ่งกลับมา...มีมั้ยเมื่อตอนเป็นเด็กใครเคยเจอแบบนี้บ้าง...มุกแบบนี้ สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งมาสู่อีกรุ่นหนึ่งได้อย่างง่ายดายเพราะมันได้ผล สามารถกำราบเด็กดื้อเด็กซนได้เป็นอย่างดี...สรุปแล้วความสงสัยนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไปซินะ เพราะที่จริงแล้วไม่สามารถรู้ที่มาที่ไปว่ามันเกิดขึ้นมาจากที่ไหนและเพราะอะไร...เอาเป็นว่าใช้ได้ผล ก็น่าจะเพียงพอ...เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...

ย้อนความเดิมจากตอนที่ 1 สักเล็กน้อย...ในตอนนั้นจิตมันตื่นขึ้นเพราะรู้สึกว่ามีใครสักคนจ้องมาที่เราโดยการเดินเข้ามาหาแล้วก็วน ในจังหวะหนึ่งนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไร ขนของผมก็ลุกไปทั้งตัวแล้วก็ขยับร่างกายอะไรไม่ได้...แน่นอน ผมอายุปูนนี้แล้ว คิดออก...กูโดนเข้าแล้ว!!!!...ผีอำแน่ๆ...ไม่คิดอะไรมาก ว่าคาถาชินบัญชรใส่เลยงั้น...แปบเดียวผีโดดหนีทะลุกำแพงไปเลย...พอตอนเช้าก็มานั่งคิด แล้วอยู่ดีๆก็นึกได้ว่า ทำไมเราถึงไปสวดคาถาเพื่อไล่เขาล่ะ สมองคิดไปเรื่อยเลยนะ ผีพวกนี้คงเดือดร้อนเขาคงไม่มาร้ายมั้ง...สมองมันคิดไม่หยุด..แต่ก็ยังหาบทสรุปไม่ได้ สิ่งที่คิดมันเหมือนกับแสร้งว่า "ใจดีสู้เสือ" คล้ายๆจะปลอบใจตัวเอง อะไรประมาณนั้น...แล้วความคิดเรื่องนี้ก็ดับลงไปได้หลายวัน จนเกือบจะถึงวันโกนของสัปดาห์ถัดไป "ใกล้ถึงวันโกนวันพระอีกแล้วซินะ" ผมเริ่มรำพึงรำพันกับตัวเองอีกครั้ง ตอนนั้นรู้สึกหวั่นไหวพอสมควร มันมีความคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าคงต้องโดนในแบบที่เคยโดนอีกแน่..."แล้วเราจะทำไง?"...ในระหว่างนี้สมองมันก็คิดอะไรของมันไปเรื่อยจนในที่สุดมันมาหยุดที่การ "แผ่เมตตา"...อื้อหือ!...ใช่แล้ว ไม่ลองไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็น...ความคิดนี้มันเข้ามาเร็วปานสายฟ้าแลบ! พรึบเดียว สว่างโพลงเลย...สัพเพสัตตา...สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุก เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น....ฯลฯ"...



และแล้วก็มาถึง...คืนนั้นเป็นคืนวันโกน!...ผมก็ปฏิบัติตัวไปตามปกติ คือ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แล้วก็นอน หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้วกะคร่าวๆ ประมาณ ตี3 กว่า...ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครที่ผมไม่รู้จักอยู่ในห้องด้วย ตอนนั้นมันครึ่งหลับครึ่งตื่น แน่นอนผมรู้เลยว่าอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับผม...แล้วก็จริงๆ!...ความรู้สึกมันรวดเร็วมาก ขนตามตัวลุกชัน ตั้งแต่ปลายขาจนถึงหนังหัวนั่นแหละ จากนั้นตัวก็เริ่มชา กระดุกกระดิกไม่ได้...มาแล้ว!...ผมคิดเอาเอง นี่คงเป็นวิธีที่ดวงวิญญาณที่อยู่ในโลกทิพย์เขาต้องการสื่อสารกับคนซึ่งอยู่ต่างภพภูมิกัน อยู่ดีดีจะให้เดินดุ่มๆเข้ามาคุยกันแบบหน้าตาเฉย คงจะเป็นไปไม่ได้...ผมไม่รอช้า เพราะตอนนั้นผมมีสติสมบูรณ์ ความกลัวผีไม่มี เพียงแต่ตามันลืมไม่ขึ้น ผมกำหนดจิตของตัวเอง ท่องในใจเริ่มตั้งแต่...สัพเพสัตตา ไล่ไปเรื่อย ในแบบที่ผมคุ้นเคย...พอจบท่อนสุดท้ายตรงที่ว่า...สุขีอัตตตานังปริหะรันตุ...จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นนี้เทอญ...พอสิ้นคำว่าเทอญ..ผมได้ยินเสียง  ซู่ ๆๆ...ประมาณ 3 ครั้ง จิตผมมันบอกกับผมว่า สิ่งที่ผมทำไปถูกต้องแล้ว ดวงวิญญาณดวงนั้นเขาได้รับผลบุญที่ผมแผ่ให้เขา เขาเป็นสุขแล้ว....จากนั้นอีกไม่นาน ผมสามารถลืมตาได้ ลุกจากที่นอน เปิดไฟดูนาฬิกา ก็เป็นเวลาที่ผมได้บอกไปในตอนแรก จากนั้นเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอนต่อจนถึงเช้า...

ความรู้สึกในตอนเช้าเมื่อผมลองลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง...ผมจำได้ทุกขั้นตอน เพราะผมมีสติอยู่ครบสมบูรณ์...ความสุขใจมันเกิดขึ้นกับผม มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ รู้แต่ว่าการที่ผมได้ช่วยให้เพื่อนต่างภพภูมิเขารู้สึกมีความสุขได้ ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย...นั่นคือความรู้สึกในเช้าวันนั้น...สำหรับในคืนวันพระที่ถัดมาจากคืนวันโกนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น...จนมาถึงวันพระของสัปดาห์ถัดไป...ผมผ่านในคืนวันโกนมาได้แบบชิล ชิล คงเหลือในคืนวันพระอีก 1 คืนสำหรับสัปดาห์นี้... สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิเสร็จ ก็เข้านอน...คราวนี้จำเวลาไม่ได้ แต่ก็คงไม่แตกต่างจากคราวที่แล้วมากนัก เพราะหลังจากเหตุการณ์เป็นปกติผมไม่ได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ เพราะมีความสุขที่จะได้นอนต่อ...คืนนั้นความรู้สึกตัวก็เกิดขึ้นเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าคือ ผมเห็นรูปร่างหน้าตาของเด็กสาว ใส่เสื้อสีขาว เดินขึ้นบันไดแล้วตรงมาที่ผม...เท่านั้น ขนทั้งตัวก็ลุกชัน ขยับแขนขาไม่ได้...กำหนดจิตว่า สัพเพ...ทันที พอว่าจบ เธอผู้นั้นได้รับเป็นที่สบายใจแล้ว เธอก็ไป...ความเคยชิน เริ่มเข้าครอบงำผมเสียแล้ว...คราวนี้เป็นคืนวันโกนของอีกประมาณ 7 วันถัดมา...สเต็ปเดิม ลีลาเดิม...ผมก็ว่าแบบเดิมๆ คือ สัพเพ....เรื่อยไป...แต่ดวงจิตนี้แปลกกว่าชาวบ้านที่เคยมาเยี่ยมผม...ตรงที่จบแล้วยังไม่ยอมไป...ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขานะ...ผมยิ้มให้กับความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังนั่งทับผมอยู่...ผมพูดกับเขาไปประโยคหนึ่ง..."ไปได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอพักผ่อน"...เชื่อมั้ย เพียงผมพูดเท่านั้น เขาลุกพรึบเดียวหายไปเลย...เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจว่า "เฮ้ย!...คุยกันรู้เรื่อง"...และที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นครั้งที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดสำหรับผม...เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนๆกับในทุกครั้งนั่นแหละ แต่มันมีที่น่าอัศจรรย์ใจตรงที่ว่า ผมท่อง สัพเพ ไปได้นิดเดียว...ผมกลับได้ยินเสียง ใครก็ไม่รู้จำนวนมากมาย มาจากทุกทิศทุกทาง ท่องสัพเพ สัตตา เหมือนกับผม ประสานเสียงกันได้ไพเราะแบบที่ผมไม่เคยได้ยินความไพเราะแบบนี้มาก่อน...ผมหยุดท่อง เอียงหูฟังเสียงนั้นตลอด ผมมีความสุขแบบบอกไม่ถูกเลยในตอนนั้น...เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไป จนมาถึงวันนี้ผมไม่เคยลืม แม้ในระยะหลัง ดวงวิญญาณต่างๆอาจห่างหาย ไม่ได้มาเยี่ยมผมเหมือนในครั้งกระนั้น อาจจะเป็นเพราะการปฏิบัติของผมเกิดความหย่อนยานก็เป็นได้...และนี่แหละ...ที่เป็นคำตอบให้กับผมโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่า..."โลกแห่งวิญญาณ หรือ ผี ซึ่งอยู่ต่างภพกับมนุษย์...มีจริงหรือไม่?"...เมื่อทุกท่านได้อ่านเรื่องราวทั้ง 2 ตอนมาแล้ว ลองพิจารณาตามไปนะครับ...แล้วลองค้นคว้าหาคำตอบให้กับตัวคุณเอง...เปรียบไปแล้วเหมือนคุณเป็นเศรษฐีผู้ใจดี คนตกทุกข์ได้ยากเขารู้ว่าคุณต้องช่วยเขาได้ เขาจึงดั้นด้น หาโอกาสมาพบคุณ มาขอพึ่งพา แล้วคุณก็ได้ช่วยเขา...แต่หากคุณเป็นคนยากจนเข็ญใจ จะมีคนตกทุกข์ได้ยากที่ไหน เขาจะดั้นด้นมาพบคุณ...มันเสียเวลาเปล่า..."บุญ" ใครทำใครได้นะครับ...แล้วอย่าลืมแผ่ออกไปไม่มีประมาณ...เพราะมีดวงวิญญาณอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งน่าสงสาร เขาไม่มีโอกาสได้สร้างบุญ...ซึ่งแตกต่างจากพวกเราทั้งหลาย...ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป นะท่าน...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

ฝึก...ฝึก...ฝึก นึกถึงบุญที่ตนเคยทำ...เผื่อพลาดพลั้ง ยังมีก๊อก 2...!!!

          ในแต่ละคน "บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง"...ต่างกรรมต่างวาระ ดังนั้นสิ่งที่เคยสร้างเคยทำแล้ว ในส่วนดี คือบุญ ให้ตัวเราหมั่นนำมาคิดพิจารณา ให้หัวใจมันสดใสแช่มชื่นเบิกบาน มีความสุขไปกับการทำบุญเหล่านั้น ในส่วนที่เป็นกรรมไม่ดี ท่านให้ลืมไปเสีย อย่านำมาคิดผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไป เหตุผลที่ผู้เขียนต้องการสื่อออกไปก็เพราะว่าความเป็น "อนิจจัง"...ความไม่เที่ยงนั่นเอง ขณะนี้ผู้เขียน ยังมีลมหายใจ แสดงว่ายังไม่ตาย ยังเขียนหนังสือให้ท่านทั้งหลายอ่านกันได้ แต่ก็ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้ มะรืนนี้...ผู้เขียนยังจะมีลมหายใจอยู่มั้ย....แล้วการฝึกให้เราหมั่นนึกถึงบุญกุศล ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ท่านผู้รู้ท่านบอกว่ามันก็คือการฝึกสมาธินั่นแหละ ในกรณีที่เราไม่เคยฝึกให้จิตของตัวเรานึกไปถึงบุญที่เคยทำ บังเอิญเกิดพลาดพลั้ง ลืมหายใจ เป็นอันว่าความซวยอาจมาเยือนได้...จิตมันจะเคว้งไม่มีที่ให้เกาะ แล้วจะทำยังไงล่ะ มันก็คงไปตามบุญตามกรรมกระมัง เชื่อได้เลย ร้อยทั้ง ร้อย ไปไม่ดีแน่ ทั้งนี้เพราะคนเราส่วนใหญ่ตอนสมัยยังมีชีวิตอยู่เรื่องอะไรดีๆมักจะลืมกันง่าย แต่ถ้าเป็นเรื่องเศร้าโศกเสียใจ ที่สะเทือนใจ เรมักจะจำกันได้ทั้งชีวิต...ลองถามตัวเอง สำรวจตัวเองนะครับว่า ที่ผู้เขียนพูดมา มันจริงเท็จแค่ไหน...มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนเคยอ่านเจอ แล้วก็ได้นำเรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นเครื่องเตือนสติในทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ ลองอ่านกันดูนะครับ...จากความในตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนาของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง...

ชายชราคนหนึ่งร่างกายใหญ่โต ผิวคล้ำ อายุประมาณ 70 ปี เดินเข้ามาที่สอบสวน ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ผู้ประกาศความประพฤติว่า "นายกิ่ง(ชื่อสมมุติ)...เธอเป็นทายกวัดเป็นผู้เคร่งครัดในระเบียบ ผู้พบเห็นศรัทธาเธอมาก แต่เบื้องหลังแกบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ คนนี้ตายเมื่อ 18 สิงหาคม 2531 ชอบเอาของสงฆ์เข้าบ้าน แล้วยังมีอีกมาก"...เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศจบ ท่านลุง(พระยายมราช) ก็ถามนายกิ่งว่า "เธอทำกรรมหนักมาก ของสงฆ์มีอันตรายใหญ่ เธอเอาของสงฆ์ไปใช้มีเวลาถึง 31 ปี โทษนี้ต้องลงอเวจีมหานรกและต้องลงนรกอีกหลายขุม"...

นายกิ่งเมื่อฟังดังนั้นแล้วได้แต่ก้มหน้าน้ำตาไหล แล้วเจ้าหน้าที่ก็ประกาศต่อไปว่า "ส่วนที่เป็นกุศล นายกิ่งรักษาศีล 5 บริสุทธิ์ทุกสิกขาบท มีเรื่องเดียวที่เสียคือ ชอบบังคับพระให้อยู่ในอำนาจ แล้วนำของสงฆ์ไปทำเป็นครั้งคราว ประการที่สอง นายกิ่งชอบบูชาพระและสวดมนต์ ตั้งใจบูชาและสวดด้วยความเคารพเป็นปกติ บทที่ชอบสวดที่สุดคือ 'ธรรมจักร'..."...เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศจบ ท่านลุงก็ถามนายกิ่งว่า "ที่เขาพูดนั้น จริงหรือ?"...นายกิ่งก็ยอมรับ ว่าจริง...

เจ้าหน้าที่ประกาศต่อไปว่า "การให้ทานเป็นปกติ นายกิ่งชอบใส่บาตรเป็นประจำทุกวัน และเคยถวายสังฆทานมีผ้าไตร ของใช้ อาหารแห้ง พระพุทธรูป ถวาย 1 ครั้ง ในชีวิต"...ท่านลุงถามว่า "เธอทำอย่างนั้น จริงหรือเปล่า?"...นายกิ่งยอมรับว่าทำจริง...ท่านลุงถามว่า "บุญที่ทำทุกอย่างเธอมั่นใจบุญอะไรมากที่สุด?"...นายกิ่งตอบว่า "มั่นใจบูชาพระและสวดมนต์ ที่ติดตาติดใจมากที่สุดคือ ถวายสังฆทาน"...ท่านลุงพูดว่า "การทำบุญอย่างนี้น่าจะไปสวรรค์โดยตรง ไม่น่าจะต้องถูกจับมาสอบสวน"...ท่านว่าก่อนที่เขาจะนำมาที่นี่เธอ ไม่ได้นึกถึงบุญเลยหรือ?...นายกิ่งตอบว่า "เมื่อป่วยใหม่ๆนึกถึงการสวดมนต์และถวายสังฆทาน แต่เมื่อใกล้จะตาย (ตายด้วยโรคลมขึ้น แน่นจุกหน้าอก )...มีเสียงเหมือนใครเอาของหนักมาเขวี้ยงที่ฝาบ้าน ดังปั้ง! ถนัด...จึงตกใจลืมบุญทั้งหมด ใจว้าวุ่น กลุ้ม พร้อมกับอาการจุกเสียดก็ได้กำเริบขึ้นอย่างหนัก อารมณ์ก็มืดไปชั่วครู่" จากนั้นก็เห็นทั้ง 4 ท่านมาบอกว่า "ฉันมารับขอให้ตามมา"...จนได้มายืนอยู่ ณ ที่นี้...

ท่านลุงฟังแล้วท่านก็บอกว่า "เออ! ดีแล้ว...ยังนึกถึงบุญกุศลได้ เอ็งไปรับผลความดีก่อน เรื่องอเวจีเอาไว้ภายหลัง ไปเป็นเทวดาแล้วพยายามสร้างความดี อย่าให้พลัดลงมาได้นะ"...



          ...อานิสงส์ของการสวดมนต์ ทำให้เอ็งไปเป็นเทวดาชั้นยามา...
          ...อานิสงส์สังฆทาน เป็นเหตุให้มีวิมานและเครื่องประดับทิพย์...
          ...การถวายพระพุทธรูปร่วมสังฆทาน เป็นเหตุให้เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมาก...

เอ็งไปได้แล้วฉันช่วยได้แค่นี้นะ ถ้าพลัดลงมาอีกเอ็งต้องไปอเวจีแน่ แล้วท่านลุงก็ให้เทวดานำนายกิ่ง ออกเดินทางไปชั้นยามา ร่างกายเธอสวยมาก วิมานก็สวย พวกเรา( หมายถึงหลวงพ่อ ) ก็ลากลับ แล้วก็สะดุ้งตื่นพอดีจบเรื่องนายกิ่ง...

ผู้เขียนเองเมื่ออ่านเรื่องราวแบบนี้ทีไร หัวใจมันก็พองโตทำให้มีกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติความดี ถึงแม้จะเป็นความดีเพียงเล็กๆน้อย ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระวันละนิดวันละหน่อยไปตามเรื่องก็เถอะ...สำหรับท่านผุ้อ่านทั้งหลายที่ทำบุญกันไว้มากมายแล้ว ฝึก ฝึก...นึกถึงบุญที่เคยทำ ในทุกครั้งที่มีสตินึกขึ้นมาได้ ใคร่ครวญพิจารณา แล้วอิ่มเอมไปกับบุญของตนกันนะครับ...สาธุ...!!!

ที่มา : หนังสือรวมคำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

ไหว้พระ ท่องเที่ยว ณ เมืองเก่าริมโขง..."เชียงคาน"...!!!

          "เชียงคาน"...เป็นอำเภอที่อยู่ในสังกัดของจังหวัดเลย เป็นเมืองเล็กๆชายขอบของประเทศไทย หรือจะเรียกให้ดูเก๋ไก๋ คือ เมืองอินเทรนด์ริมโขง เป็นบ้านเมืองเก่าที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เรียบง่าย ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย ด้วยความเงียบสงบ และวิถีชีวิตแบบเดิมๆ จึงเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของที่นี่ ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายมาดูดซับบรรยากาศที่หาดูได้ยากเฉกเช่นเมืองที่เป็นมรดกโลก คือ หลวงพระบางของลาว...บทความนี้คงจะบรรยายให้ท่านเห็นภาพประหนึ่งว่า ท่านมาเห็นด้วยตาของตัวเองไม่ได้แน่ ดังนั้นจึงขอเชิญชวนกัลยาณมิตรทั้งหลายหากวันใดมีโอกาส เช่นมีวันว่างจากการงานสัก 4-5 วัน แล้วมีความต้องการอยากจะไปพักผ่อนสักที่...เชียงคาน จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด...

เพราะเหตุที่เราเป็นชาวพุทธ การท่องเที่ยวในทุกๆครั้งมักจะมีการไปกราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวเป็นอันดับแรก...และการที่เลือก เชียงคาน เป็นที่สำหรับพักผ่อนในวันหยุดยาวๆแล้วล่ะก็ คงไม่ผิดหวังเป็นแน่ นอกจากที่เชียงคานนี้จะมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามแล้ว ยังมีวัดวาอารามให้สาธุชนคนพุทธทั้งหลายได้ไปสร้างบุญสร้างกุศลกัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่างวัดที่ไม่ควรจะพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง คือ วัดศรีคุณเมือง สถานที่ตั้งของวัดนี้ ตั้งอยู่ระหว่างซอย 6-7 บนถนนชายโขง ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของ "ตลาดเชียงคาน" มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วัดใหญ่"...และถัดออกไปอีกไม่ไกลนัก ณ ปากซอย 14 จะเป็นที่ตั้งของอีกวัดหนึ่งที่ชื่อว่า "วัดมหาธาตุ"...และวัดนี้นี่เองที่ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองเชียงคาน...การที่ได้มีโอกาสเปิดหัวการท่องเที่ยวด้วยการไปเที่ยวชมวัดซึ่งอุดมไปด้วยศิลปะแบบล้านนาแถมด้วยเป็นวัดที่เก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง  บุญตาก็ได้ บุญใจก็ได้ ไปทีเดียวได้กำไรหลายต่อ สุดๆจริงๆกับทริปนี้...

ไหว้พระขอพรกันตามเรื่องตามราวก็ถึงเวลาที่ต้องการรับประทานอาหารกันบ้าง ในเมื่อไปถึงยังดินแดนถิ่นล้านนา ก็ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งสำหรับอาหารพื้นเมืองของที่นั่น...ลองมาดูกันเลยครับ ผู้เขียนขอเริ่มด้วย..."ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว"...

          ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว หรือ ขนมจีนน้ำใส เขาว่ากันว่าจะหาทานได้เฉพาะที่เชียงคานเท่านั้น ลักษณะของเมนูนี้ก็คือ ขนมจีนที่มีเส้นเล็กกว่าปกติที่เราเคยเห็นเคยทานกัน แล้วยังประกอบไปด้วยเครื่องในหมู พวก ตับ ไต ไส้ พุง ทั้งหลายที่ต้มจนสุกแล้ว คลุกเคล้าไปด้วยผักนานาชนิด เช่น ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ถั่วงอก สะระแหน่ ต้นหอมสด ราดนำซุปใสๆเข้าไป...โอ้โห...ชักจะหิวขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะ...อิอิ  ผ่านไปหนึ่งอย่าง คงยังไม่พอ ไหนๆก็มาถึงที่เชียงคานแล้ว ก็จัดมาอีกสัก 2-3 อย่าง อาทิเช่น  แหนมคลุก ไข่กระทะ ข้าวเปียก ตบท้ายด้วย ปาท่องโก๋ยัดไส้ หลังจากนั้นจิบกาแฟล้างคอสักหน่อยอร่อยกำลังเหมาะทีเดียว...

ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว

ไข่กระทะ

ปาท่องโก๋ยัดไส้
คราวนี้ก็มาถึงสถานที่เที่ยวกันแล้ว เชียงคานมีอะไรน่าเที่ยวกันบ้าง เช่นเคยครับ...ตามผมมา...!!

ชมทะเลหมอกภูทอก : หากต้องการเลือกที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้น และดูทะเลหมอกที่ยอดภูทอก การตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง...."ตี 5" เมื่อนัดให้รถมารับที่สถานที่พัก หากคุณไม่สะดวกและคุ้นเคยกับเส้นทาง ภูทอกเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมาก นอกจากจะได้ชมทะเลหมอกในยามเช้าแล้ว ยังได้ชมความงามของแม่น้ำโขงอีกด้วย...หากท่านใดต้องการที่จะสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเชียงคาน ด้วยการตักบาตรข้าวเหนียวแล้วล่ะก้อ คงต้องพลาดการไปชมทะเลหมอก ถึงคราวต้องเลือกแล้วล่ะ...

แก่งคุดคู้ : เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง มีกระแสน้ำที่ไหลผ่านช่องแคบๆที่ด้านฝั่งไทยซึ่งเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เวลาที่เหมาะในการมาเที่ยวชมแก่งคุดคู้ที่สุด คือ ระหว่างเดือนกุมถาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม ช่วงนั้นน้ำจะแห้งทำให้มองเห็นเกาะแก่งต่างๆได้อย่างชัดเจน...

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้ว ยังมีอีกหลายที่เหลือเกินที่มีความน่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คงแล้วแต่ความชอบ สไตล์ใครสไตล์มันนั่นแหละ...ยกตัวอย่างเช่น หมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำ, วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน, ถ้ำผาแบ่น, ท่องเที่ยวทางการเกษตรบ้านบุฮม เป็นต้น

วันพักผ่อนสบายๆกับเมืองอันเงียบสงบแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ได้สร้างบุญสร้างกุศลพร้อมกับการเที่ยวชมธรรมชาติอันงดงาม หากเมื่อมีโอกาสสักครั้งกับการพักผ่อน...เชียงคาน...น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย...จัดไป...!!!


นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story








การอุทิศส่วนกุศล...ของฝากจากท่าน "พระยายม"...!!!

          ในครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้ตอบคำถามที่เหล่าบรรดาลูกศิษย์ที่มีความสงสัยในเรื่องของการ "อุทิศส่วนกุศล"...ความว่า "ผู้ใดมีญาติที่ทำบุญแล้วกล่าวคำอุทิศให้เจาะจง บอกให้โดยตรง สามารถโมทนาได้ และมีความสุข ยังมีอีกมากที่มีผู้ต้องการบุญอยู่ แต่ไม่มีใครกล่าวอ้างและอุทิศให้แม้ว่าจะมารอ ณ ที่ที่มีการปรารภบุญเกิดขึ้น คงได้แต่มองด้วยความอยาก มีความหิวโหย มีความต้องการ แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย ต้องกลับไปทนทุกข์เสวยผลกรรมต่อไป เพราะยังมีอีกมากที่ผู้อุทิศกุศลไม่ได้กล่าวให้เขาเหล่านั้นจึงน่าสงสารเป็นยิ่งนัก"...ผู้เขียนเองเคยอ่านข้อความเหล่านี้หลายต่อหลายครั้ง เมื่อพิจารณาตามไปในทุกครั้งที่อ่าน มันรู้สึกสงสารดวงวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นจับใจ รู้สึกสะเทือนใจ แล้วก็พลอยคิดไปว่า เกิดเราพลาดพลั้ง ประมาทในการใช้ชีวิตเมื่อตอนเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปแล้วต้องไปรับโทษทัณฑ์เช่นพวกเขา ต้องไปยืนชะเง้อรอการอุทิศบุญมาให้ด้วยความหิวโหย แต่ในท้ายสุดก็ต้องผิดหวังเพราะบรรดาเหล่าญาติของเราขาดความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนการอุทิศ ทำได้แค่เพียงเดินคอตกกลับไปรับกรรมแบบที่หลวงพ่อท่านได้เมตตากล่าวเอาไว้...

ยังมีตอนหนึ่งในหลายๆคำถามที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะคัดลอกมาแบ่งปันเป็นความรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อว่าในทุกครั้งที่เรามีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศล จะได้มีหลักในการอุทิศผลบุญเพื่อส่งตรงไปยังผู้ที่เราปรารถนาจะมอบบุญนั้นให้ จึงเป็นที่มาของบทความทีแฝงไปด้วยธรรมะนี้ "ของฝากจากพระยายม"...

http://dharmaishere.blogspot.com


ท่านพระยายม (ลุงพุฒิ)ได้มาบอกต่อองค์หลวงพ่อถึงการอุทิศส่วนกุศล เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี 2531 ซึง่หลวงพ่อเล่าให้ฟังดังนี้...
หลวงพ่อ ; ท่านพระยายมกับท่านลุง (นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา บอกว่า "คนที่ผมจะช่วยได้ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ!"...แล้วหลวงพ่อจึงถามต่อ..
หลวงพ่อ : "ลุงมีข่าวอะไรบ้างล่ะ?"...
พระยายม : "ไม่มี!...ผมหยุดนรกการ 3 วัน"...
หลวงพ่อ : "ทำไมล่ะ?"
พระยายม : "วันสำคัญนี่ วันมหาปวารณา ผมไม่สอบสวน"
หลวงพ่อ : "ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่รอการสอบสวนเขามีอิสระ...ใช่ไหม?"...
พระยายม : "ตามปกติ เขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่นเขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง"...

คือพระยายมท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก แต่ก็ต้องไปตามกฏของกรรม ถ้ารู้กฏของบุญนิดหนึ่ง ท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย ท่านจัดของท่านอย่างนั้น เลยถามท่านว่า...

หลวงพ่อ : "ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้...เขาไปได้ไหม?"...
พระยายม : "เขาไปไหนก็ได้ ถึงเวลาสอบสวนเขาก็มาเอง กฏของกรรมมันบังคับ"...

หมายความว่าเขาจะต้องถูกสอบสวน ไม่อย่างนั้นเขาจะลงนรกทันที ถ้าเขามายืนที่นั่นยังมีโอกาสพ้นหรือไม่พ้น ยังไม่แน่ เลยถามว่า...

หลวงพ่อ : "ถ้าบรรดาญาติเขาอุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะมีโอกาสได้รับไหม...?"...
พระยายม : "ถ้าญาติฉลาด ได้รับทุกคน"...

ญาติฉลาด หมายความว่า ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ตรง ให้คนเดียว อย่าให้คนอื่น แต่ต้องออกชื่อนะ เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้าย "สัมภเวสี" หลวงพ่อก็เลยถามว่า...

หลวงพ่อ : "ทำบุญอย่างไหนพวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูง มีความสุขมาก มีความสุขน้อย หรือไม่ได้รับเลย?"...
พระยายม : "แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน"...

หมายความว่าพระเรานี่ล่ะ!...เป็นพระแต่หัวแต่ผ้าเหลืองมีไหม?...นี่แหละทำไปเท่าไรเจ๊งหมด ขาดทุน!...ท่านบอกว่าอย่างนี้ทำเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกนั้นเขาก็ไม่ได้รับ เพราะรับไม่ไหว ถ้าทำบุญที่เขตมีบุญน้อย เขาก็มีอานิสงส์น้อย มีความสุขน้อย นี่เราก็ไม่ต้องพูดกัน ทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ที่เป็นบุญมากก็ได้รับผลมาก ก็ถามถึงบุญ...พระยายมท่านตอบว่า สังฆทาน ดีที่สุด!...
แล้วท่านก็ยังบอกอีกว่า...

พระยายม : "ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ...อย่าง สัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านผม ผมช่วยไม่ได้...แล้วก็คนที่ตายแล้วลงนรกทันทีก็ช่วยไม่ได้"...
หลวงพ่อ : "ทำอย่างไรถึงความแน่นอนจะปรากฏ ลุงถึงจะช่วยได้"...
พระยายม : "เอาอย่างนี้...เวลาเขาทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอกว่า 'ถ้าบุคคลนี้ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอพระยายมเป็นพยานด้วย ถ้าหากว่าพบเธอเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น'...เพียงเท่านี้แหละ ผมก็ไม่ต้องสอบสวน มันโผล่หน้าเข้ามาผมก็บอก เฮ้ย!...ข้าทำบุญอย่างโน้น มึงโมทนา เว้ย!...มันก็ไปสวรรค์เลย ผมก็ไม่ต้องเหนื่อย"...

ก็ได้แต่หวังว่ากัลยาณมิตรทั้งหลายคงจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้บ้าง...ดวงวิญญาณของบรรดาเหล่าญาติของท่านทั้งหลายอาจกำลังรอ การอุทิศส่วนกุศล ที่ตรงเป้าอยู่ก็ได้ เพื่อความสุขของพวกเขา ในยามที่เขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้เช่นนี้ จึงเป็นหน้าที่ของเรา ท่านทั้งหลายที่จะสงเคราะห์ให้พวกเขาได้รับความทุกข์น้อยที่สุด...ใจเขาใจเรานะครับ ใครๆก็อยากได้รับความสุข...เราควรหยิบยื่นสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับพวกเขา...ในทุกๆครั้งที่มีโอกาส...สาธุ...!!!

ที่มา : หนังสือรวมคำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

เพื่อนกินหาง่าย...เพื่อนตายหายาก...!!!

          เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก" ผ่านหูกันมาบ้างไม่มากก็น้อย...ในชีวิตของคนหนึ่งคนนับตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ กระทั่งเติบโตขึ้นมาจนเป็นผู้ใหญ่ เพื่อนมากหน้าหลายตา ก็ได้มีโอกาสผ่านเข้ามาและผ่านออกไป นับเป็นความโชคดีไม่น้อย หากในจำนวนเพื่อนมากมายเหล่านั้นจะมีเพียงสักคนที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนตายโดยปล่อยให้เพื่อนกินทั้งหลายหลุดรอดตาข่ายแห่งชีวิตของเรา...หลายคนอาจเคยเจ็บช้ำระกำทรวงกับเพื่อนประเภทหลัง เพื่อนพวกนี้สามารถพบเจอได้ง่ายในทุกสถานที่ไม่เว้นแม้กระทั่งในวัดวาอาราม หรือสถานสำหรับปฏิบัติธรรมต่างๆ คนพวกนี้สามารถทำตัวให้กลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ยากเหลือเกินที่ใช้การมองเพียงผิวเผินแล้วสามารถจะรู้ซึ้งถึงสภาวะจิตใจที่อยู่ข้างในได้ บางคนคบกันมานานหลายปี เวลาที่สูญเสียไป ไม่สามารถบอกอะไรกับเราได้มากนัก หากวันเวลาเหล่านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสนุกสนาน มีแต่ความบันเทิงเริงรมณ์ อะไรต่างๆมากมายที่มันซ่อนอยู่ข้างในจะไม่ถูกแสดงออกมาสำหรับเพื่อนพวกนี้...เราไปกินที่ไหน เขาก็ไปด้วย เราไปเที่ยวที่ไหน เขาก็ไปด้วย ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด เพื่อนพวกนี้ก็จะคอยอวยให้เราอยู่เสมอ...แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่า...ใครเพื่อนกิน?...ใครเพื่อนตาย?...

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพิสูจน์แล้วหาคำตอบออกมา แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก หากเรารู้จักวิธีสังเกตให้ดี...ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่มันคือแนวโน้มที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ อันดับแรกลองพิจารณาเพื่อนของเรารอบๆตัวดูซิว่ามีใครบ้างไหมที่เข้าข่ายลักษณะแบบที่กำลังจะพูดถึง...ต่อไปนี้

http://dharmaishere.blogspot.com


          1. ชวนไปในทางที่เสื่อม อะไรบ้างที่เรียกว่าเสื่อม คงไม่ต้องยกตัวอย่างหรอกนะครับ คิดว่าทุกคนคงแยกออกว่าอะไรเสื่อม อะไรไม่เสื่อม
          2. ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนชวนไปในทางที่เสื่อม แต่ก็ไม่เคยห้ามปราม มีแต่เออออ ห่อหมกไปกับเราด้วย แม้ว่าสิ่งที่เราจะไปทำนั้นเป็นทางที่เสื่อม
          3. "เรื่องการเรื่องงานฉันป่วย...ถ้าเรื่องกินฉันช่วย ถึงป่วยก็จะไป"...แบบนี้มีไหม เพื่อนเรา
          4. คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบแบบเนียนๆไป แรกๆเราอาจจะไม่รู้ แต่หลายครั้งเข้า หางก็โผล่

เมื่อลองเช็คเพื่อนเป็นรายหัว ประเมินดูแล้ว มีเพื่อนของเราคนไหนบ้างมั้ยที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นดาวประกายพรึก เหมือนเป๊ะทั้ง 4 ข้อ...ถ้ามีก็ลองพิจารณาดูเอา ว่าจะให้ไปต่อไหม กับคนประเภทนี้...นอกจากจะมี 4 ข้อข้างบนเอาไว้พิจารณาแล้ว ผมยังมีอีก 4 ข้อข้างล่างนี้ให้พิจารณาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย...ว่าพอจะมีมั้ยเพื่อนแบบนี้...มาลองดูกัน

          5. มีน้ำใจหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เมื่อรู้ว่าเราเดือดร้อน แม้ว่าเราจะไม่ได้ร้องขอ...มีมั้ย?
          6. เห็นอะไรเหมาะสมในทางที่ดีก็สนับสนุน จะคอยเตือนหากเรากำลังจะตกไปในทางเสื่อม แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยเสมอ
          7. แฟร์ แฟร์ ความลับไม่มีระหว่างเพือน...แต่จะไม่แพ่งพรายความลับของเพื่อนไปสู่บุคคลที่ 3
          8. สุข-ทุกข์ด้วยกัน ไม่ถอยหนี

ผมแยกให้เห็นทั้ง 4 ข้อบนและล่าง  ฝากเอาไว้สำหรับลองสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนๆคุณดู...ใครคนไหนจะถูกจัดไว้ในข้อ 1-4 และมีใครบ้างที่จะได้รับเกียรติให้อยู่ในข้อ 5-8...เพื่อนแต่ละคนอาจมีไม่ครบทั้ง 4 ข้อ ไม่ว่าบนหรือล่าง หรืออาจจะมีปนๆกันไป ในแบบที่ว่า มี 1 ข้อด้านบน แต่มีถึง 3 ข้อด้านล่างก็เป็นไปได้...เพราะว่าโลกใบนี้ไม่มีใครเพอร์เฟคไง จุดประสงค์จริงๆของบทความนี้ แค่อยากจะสื่อออกไปให้คุณผู้อ่านเห็นว่า คุณอยากมีเพื่อนที่ดี คือเพื่อนตาย วันนี้คุณได้เป็นเพื่อนตายให้กับเพื่อนของคุณแล้วหรือยัง ถ้าคุณเองยังไม่สามารถเป็นเพื่อนตายให้ใครได้...คุณควรจะลืมข้อ 5-8 ไปเสีย คุณจะไม่มีเพื่อนตายสักคนผ่านเข้ามาในชีวิต...โปรดจำไว้ว่า ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก เมื่อให้สิ่งใดกับใคร คุณจะได้สิ่งนั้นตอบแทนกลับมา ไม่ช้าก็เร็ว...คุณคงเลือกได้แล้วซินะว่าคุณจะเป็น...เพื่อนกิน หรือเพื่อนตาย...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story



วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

อานุภาพศีลข้อ1...กับพลังแห่งเมตตา...ไร้เงาของตะขาบ...แบบเบ็ดเสร็จ...!!!

     ก่อนจะเล่าบางเรื่องที่ผู้เขียนได้ประสบพบเจอด้วยตัวเองถึงความแปลกประหลาดมหัศจรรย์บางอย่าง กับการที่ได้ตั้งจิต ละ เลิก ในการคิดเบียดเบียนชีวิตของสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลาย  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นคำว่าเมตตาปราณีไม่เคยมี อย่างเช่น ยุง แมลงสาบ ตะขาบ อะไรพวกนี้...ฆ่าเรียบ...เพราะเจ้าพวกนี้มันทั้งน่ารำคาญ และน่าขยะแขยงมาก...จริงมั้ย?...มีคุณผู้อ่านคนไหนบ้างไหมล่ะ ที่มีความรัก เจ้ายุง เจ้าแมลงสาบ หรือว่าเจ้าตะขาบ...คงจะไม่มีนะ  แล้วทำไมจู่ๆ จากคนที่เคยฆ่า เคยเบียดเบียนเอาชีวิตของสัตว์พวกนี้ จึงเลิกฆ่า...นั่นซิ...ทำไมหนอ?...มาดูความหมายของ ศีลข้อที่ 1 กันก่อนดีกว่า...ผู้เขียนเชื่อว่า เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ย่อมรู้ว่าในศีล 5 ข้อแรกต้องมีคำว่า "ห้ามฆ่าสัตว์"...แต่บางคนอาจจะเรียงลำดับข้อไม่ถูก เกิดความไม่แน่ใจว่า ห้ามฆ่าสัตว์ มันอยู่ที่ข้อไหน?...

http://dharmaishere.blogspot.com


"ปาณาติปาตา เวรมณี" คือ ศีลข้อที่1...งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ต้องตายไป...ไม่ใช่แค่ทำให้ตายอย่างเดียวหรอกนะ แต่ความหมายมันกว้างออกไปอีก นั่นคือ การไม่เบียดเบียน ทำร้ายร่างกาย และจิตใจของกันและกันด้วย...สิ่งที่แยก หรือยกระดับให้ความเป็นคน หรือมนุษย์ ดูสูงส่งกว่าคำว่า เดรัจฉาน...ก็ตรงที่มนุษย์คนนั้นมีศีลเป็นเครื่องอยู่ เป็นเครื่องอาศัย...เหตุเพราะว่า สัตว์เดรัจฉานพวกนั้นต้องฆ่ากันเพราะความหิวโหย...แต่มนุษย์เราไม่ได้ฆ่ากันเอง...เหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลข้อนี้ขึ้น  ก็เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ปลูกต้น "เมตตา" ให้เจริญงอกงามขึ้นในใจ เมื่อคน ละ เลิก ที่จะคิดเข่นฆ่าสัตว์ แม้แต่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่เช่นคน ก็คงละเว้นได้เช่นกัน...ทำให้สังคมมีความน่าอยู่ ไม่ต้องมีเหตุเภทภัยที่ต้องทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ อันเนื่องมาจากมนุษย์ต้องฆ่ากันเอง จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เป็นอันว่าทำไม่ได้ กับมนุษย์ที่มีศีลข้อที่ 1 นี้ประจำใจ...

เมื่อรู้ความหมาย และที่มาที่ไปคร่าวๆของศีลข้อที่ 1 กันไปแล้ว...ผู้เขียนก็จะได้เริ่มเล่าประสบการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นจริง...ดังที่ได้เกริ่นไว้แต่ตอนต้น ก่อนที่ผู้เขียนจะเลิกการเอาชีวิตของบรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งหลายก็ครึ่งคนเข้าไปแล้ว  ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สัตว์ที่โดนฆ่าบ่อยมากที่สุด คือ ยุง ทั้งตบทั้งตี แถมในบางครั้งยังโดนไม้แบดไฟฟ้าที่เอาไว้ใช้ฆ่ายุงอีกต่างหาก...เสียง แป๊ะ แป๊ะ...รัวถี่ยิบเป็นที่สนุกสนานเลย ในตอนนั้น ส่วนเจ้าแมลงสาบน่ะเหรอ เจอที่ไหน "เหยียบแบน"...นอนตายเละอยู่ตรงนั้น มาถึงเจ้าตะขาบ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ถ้าเจอก็ตายเรียบ ถ้าตัวเล็กก็ใช้เท้าเหยียบ ถ้าตัวใหญ่ก็ใช้ ดรัมเบล ทุบหัวให้เละ...ทำแบบนี้มาเป็น 10 ปี จนถึงช่วงหนึ่งของชีวิต...จากคนที่แสนสบายทั้งทางการเงิน การงาน อยากมีอะไร อยากได้อะไร ที่ฐานะทางการเงินพอหาได้ ก็มีทั้งนั้น ไม่เดือดร้อนอะไรเลย...แต่อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อได้ลาออกจากงานประจำจากบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ในตำแหน่งวิศวกรออกแบบ เพื่อมาทำกิจการส่วนตัว...ช่วง 3-4 เดือนแรกมีกำไรงามทีเดียว ผู้เขียนก็คิดว่า อีกไม่นานแล้วซินะ คงจะได้เปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้อยู่จากรถญี่ปุ่น ไปเป็นรถยุโรปกับเขาบ้าง...แล้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ทุกอย่างพังทลายลง ในระยะเวลา 2 ปีนับจากนั้น...ทุกอย่างหมดสิ้น ไม่ใช่เหลือ 0...แต่มันมุดต่ำไปกว่านั้น คือ ติดลบ...

ถ้าเขียนให้อ่านออกมาทุกขั้นตอน ดูเหมือนมันจะดราม่าเกินไปสักหน่อย...รวบรัดตัดความมาที่...ด้วยความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามา ทำให้ผู้เขียนต้องมุ่งหน้าเข้าหาทางธรรม...อ่าน ฟัง ปฏิบัติ เคร่งบ้าง หย่อนบ้าง ตามเรื่องตามราวไป...จนในที่สุดตัดสินใจเพื่อจะรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ...ตอนนั้นรู้แล้วว่า ที่ชะตาชีวิตของตนเองต้องมาเป็นแบบนี้เป็นเพราะกรรมเก่าที่ได้สร้างเอาไว้ แต่หนไหนก็ไม่รู้..."ตามมาทัน"...ความกลัวบังเกิดขึ้นมากมาย...แต่ความกลัวที่ว่านี้ คือ กลัวว่าหลังจากที่ตายไปแล้ว จะลงนรก...นี่แหละจึงเป็นจุดเริ่มในการทำความดี คือ การตั้งจิตเพื่อรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ...ข้อที่ 1 จากคนที่เคยฆ่า ก็ต้องหยุด ไม่ว่าสัตว์ตัวนั้นจะเป็นอะไร ไม่มีเจตนาจะเอาชีวิตเขา...หลายครั้งที่เจอตะขาบ ทั้งตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ดูน่ากลัวและน่าขยะแขยงมากเพียงใด ก็จะจับแล้วเอาไปปล่อย...บ้านของผู้เขียนเป็นดงตะขาบเลยก็ว่าได้...ขุดดินลงไปตรงไหนก็ต้องเจอตะขาบ...เล่นเอาขนลุกก็แล้วกัน...เมื่อไม่ฆ่า เจอเมื่อไรก็จับไปปล่อย เป็นจำนวนมากมายหลายครั้งในหลายปีที่ผ่านมา พร้อมๆกับ เวลาสวดมนต์ นั่งสมาธิเสร็จ ก็จะแผ่เมตตตาให้เจ้าสัตว์พวกนั้น...จนเมื่อวันหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนมักจะเรียกมันว่า ...วันสุดท้ายที่ได้เจอตะขาบในบ้าน...ตัวมันใหญ่มาก ผู้เขียนหาวิธีจับอยู่นาน ต้องใช้ความพยายามมากมาย ทั้งที่ตอนนั้นมีดรัมเบลอยู่ใกล้มือ แค่เอื้อมไปคว้าแล้วเอามาทุกหัวเจ้าตะขาบก็จบแล้ว...แต่ผู้เขียนทำไม่ได้ ทำไม่ลง...จึงก้มหน้าก้มตาไล่จับกันไป จนในที่สุดก็จับได้...นำไปปล่อยในป่าหญ้าที่ไม่ไกลจากบ้านของผู้เขียนมากนัก...ก่อนที่เจ้าตะขาบจะมุดหายไปในป่าหญ้านั้น มันเหมือนคล้ายๆเดินไปอยู่ดีๆก็ผงกหัวชูคอมองมาที่ผู้เขียน...จริงๆแล้วก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะมองมาหรือเปล่า...แต่ความรู้สึกในตอนนั้น คิดว่ามันมอง ก่อนที่มันจะเดินหายเข้าไปในป่าหญ้านั้น...

และนั่นเป็นตะขาบตัวสุดท้ายที่ได้เห็นในบ้านของผู้เขียน...มันเป็นเรื่อง แปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก ทั้งๆที่บ้านของผู้เขียนมันเป็นดงของตะขาบ เจอเจ้าตัวร้อยขาเกือบทุกวัน ต้องฆ่ากันทุกวัน...หรือนี่ จะเป็น อานุภาพแห่งการรักษาศีลข้อที่ 1...งดเว้นจากการฆ่า...แล้วยังแผ่เมตตาให้กับสัตว์ผู้ยากทั้งหลาย....แต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงมันจะเป็นเช่นไร...สำหรับผู้เขียนก็มีคำตอบในใจเสมอมา...เพราะเรื่องทั้งหมด มันเกิดกับตัวของผู้เขียนโดยตรง...หลายปีมาแล้วที่ผู้เขียนพยายามรักษาศีลข้อนี้ด้วยความตั้งใจจริง...จนบังเกิดผลเป็นที่อัศจรรย์ใจเหลือเกิน...สำหรับคุณผู้อ่านถ้าอยากรู้ว่าสิ่งที่ผู้เขียนเล่าผ่านตัวอักษรมานี้จะเท็จจริงประการใด...ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การพิสูจน์คำพูดพวกนี้ ด้วยการทำเช่นเดียวกับผู้เขียน...ไม่ลอง ไม่รู้นะครับว่า...อานุภาพที่ทรงพลังมากที่สุด คือการรักษาศีลเอาไว้ให้ได้  ศีลข้อที่ 1 ยังจะคงเป็นศีล ต่อเมื่อผู้ที่รักษา...มีความเมตตา...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

แปลงร่างสมาร์ทโฟน...เป็นวิทยุสื่อสารด้วย Zello Walkie-Talkie App...!!!

          ผมมีโอกาสได้อ่านเจอบทความอันหนึ่งของ คุณประกิจ อินทรักษ์ ประจำสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์...วันนั้นกำลังว่างก็เลยหาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของคนในบ้านมาลองเซ็ทค่าต่างๆตามคำแนะนำในบทความก็รู้สึกสนุกสนานดี...เพื่อไม่ให้เสียเวลาผมได้คัดลอกบทความของ คุณประกิจ มาถ่ายทอดลงในบทความของผมดังที่ท่านทั้งหลายจะได้อ่านดังต่อไปนี้...

เชื่อว่าหลายๆคนคงอยากมีวิทยุสื่อสารใช้กัน สำหรับในกลุ่มเพื่อนๆเวลาออกไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มๆ ขับรถกันไปหลายๆคัน เวลาเดินทางอยากจะแวะโน่นนี่นั่น ซื้อหาของกิน แวะเข้าห้องน้ำ หรือรถคันหน้านำไปไกลจนตามไม่ทัน...เวลาจะติดต่อกันทีก็ต้องกดโทรศัพท์แล้วจึงโทร  หรืออาจใช้ไลน์(Line) ก็ต้องพิมพ์ข้อความซึ่งอาจไม่ทันเวลา และไม่สะดวกในการพิมพ์...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงมี App อยู่ตัวหนึ่งชื่อ Zello Walkie-Talkie App ซึ่งจะจำลองสมาร์ทโฟนของเราให้สามารถพูดคุยแบบ วิทยุสื่อสาร ได้เลย โดยสามารถพูดคุยเป็นคนๆ หรือจะตั้งช่องสื่อสาร (Channel) ขึ้นมาเป็นห้องสำหรับการพูดคุยแบบเป็นกลุ่มก็ได้ ซึ่งเมื่อกดส่งข้อความ เสียงก็จะส่งไปหาทุกคนในกลุ่ม Zello Walkie-Talkie App จะส่งข้อความเสียงผ่านทาง Wifi , 2G , 3G , 4G mobile data อีกทั้ง Zello Walkie-Talkie App ยังรองรับทั้ง iOS , Android และ Windows Phone 8 อีกด้วย...

สำหรับวิธีการใช้งาน Zello Walkie-Talkie App ก็ให้เรา Download  Zello Walkie-Talkie App จากนั้นทำการสมัครบัญชีผู้ใช้...โดยการตั้ง Username แล้วก็ใส่ Password เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้รูปของเราตั้งค่าเป็นรูป Profile ได้อีกด้วย ...มาดูขั้นตอนการใช้งานกันดีกว่า..

http://dharmaishere.blogspot.com


1. รับเพื่อนเข้ามา โดยกดที่รูปคน เช่นเดียวกับการ Add เพื่อนในการใช้ Line
2. พิมพ์ชื่อเพื่อนที่ต้องการรับ และรอเพื่อนตอบกลับมา
3. เมื่อได้เป็นเพื่อนกันแล้ว ถ้าต้องการคุยกับเพื่อนก็ให้เลือกชื่อเพื่อน จากนั้นจะเห็นรูปวงกลมขึ้นมา เอามือกดค้างไว้ รอเสียงปิ๊บ แล้วพูดได้เลย พูดเสร็จก็ปล่อยมือ...เพียงเท่านี้ เพื่อนของเราก็จะได้ยินเสียงของคนที่พูดออกไปแล้วครับ...

ก็เป็นความสะดวกในการใช้งาน แล้วก็ยังแฝงความสนุกสนานเพลิดเพลินเอาไว้อีก แถมด้วยประโยชน์ในการใช้กับบางสถานะการณ์เป็นอย่างยิ่ง App มีมากมายเหลือเกิน เราๆท่านๆก็คงไม่สามารถที่จะลอง Download มาเล่นกันได้ทุกตัว...แต่ตอนนี้ บทความนี้ เราสามารถแปลงร่างสมาร์ทโฟนของเรา ให้กลายมาเป็นวิทยุสื่อสาร เอาไว้ใช้งานได้...ลองดูนะครับ...ดีกว่านั่งหายใจทิ้งเป็นไหนๆ...!!!

ที่มา : ประกิจ อินทรักษ์ ประจำสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

ทำกรรมฐาน...ต้องมีเป้าหมาย...!!!

          หลวงพ่อพระราชพรหมยาน...ท่านได้เทศนาสอน แนะนำถึง จุดจบหรือเป้าหมาย ของการทำกรรมฐาน หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้ากรรมฐานที่เราปฏิบัติกันอยู่ไม่รู้จุดจบมันก็ไม่ใช่ แล้วจะกลายเป็นเหนื่อยเปล่า เพราะมันได้น้อยเกินไป เปรียบไปว่าเหมือนการค้าที่ต้องลงทุนแล้วได้กำไรเพียงนิดเดียว...

- พระโสดาบัน ต้องเอาให้ได้ หลวงพ่อท่านบอกว่าอย่างนั้น แล้วเทศน์ต่อว่า คำว่าพระโสดาบันที่บอกต้องเอาให้ได้ ถามว่าเอาอย่างไร จะเป็นหรือไม่เป็นพระโสดาบันยังไงก็ช่าง เราไม่ได้รอพระพุทธเจ้าพยากรณ์ เราก็ต้องดูลีลาของพระโสดาบัน ว่าพระโสดาบันท่านทำยังไง เราก็ทำตามท่าน พระโสดาบันท่านทรงอารมณ์อย่างนั้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง เราทรงไม่ได้ เราก็ทรงวันละ 3 ชั่วโมง สรุปว่าวันหนึ่งเราเป็นพระโสดาบัน 3 ชั่วโมง พระโสดาบันจริงๆไม่ยากเลย การปฏิบัติของทุกคนมุ่งเข้าหากฏของพระโสดาบันทันทีนะ อย่าเป๋ไปเป๋มา ต้องถืออารมณ์ ไม่ใช่สมาธิอย่างเดียว ต้องใช้อารมณ์ใจ
ด้วย...อารมณ์ใจก็คือ...




1. สักกายทิฏฐิ  เราต้องตัด สักกายทิฏฐิ เพียงแต่ว่าตัดเบาๆ อย่าตัดแรง เพราะว่าการตัดกิเลสมีจุดเดียวคือ สักกายทิฏฐิ พระโสดาบันก็ตัดตรงนี้ พระสกิทาคามีก็ตัดตรงนี้ พระอนาคามีก็ตัดตรงนี้ พระอรหันต์ก็ตัดตรงนี้ ตัดที่เดียว เราก็มาตัดอย่างพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี สองประเภทนี้ตัดเหมือนกัน...คือ เรามีความรู้สึกต้องบังคับอารมณ์มัน อารมณ์ของเรามีความเมา คิดว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา อันนี้หลงกันอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมดาของคนเรา ก็ต้องตัดความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะเป็นเราหรือไม่เป็นเราก็ช่างหัวมัน แต่เมื่อเราอาศัยอยู่ในร่างกายเราก็ต้องจำไว้ว่าร่างกายนี้เราอาศัยได้ไม่นานนัก ไม่ช้ามันก็ตาย ให้ถือว่าการตายของร่างกายเป็นธรรมดาของคนและสัตว์ที่เกิดมาในโลก สักวันหนึ่งข้างหน้ามันต้องตายกันแน่ คิดอย่างนี้นะ จะได้ไม่ตายเปล่า เกิดมาแล้วอย่าเป็นคนไร้ประโยชน์...

2. วิจิกิจฉา  คนธรรมดามีความสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ อันนี้เราไม่เอาละ....พระโสดาบันท่านไม่สงสัย ท่านมีความเชื่อด้วยความจริงใจ ว่าพระพุทธเจ้าดี พระธรรมดี พระอริยสงฆ์ดี แล้วก็หันใจเข้ามาเชื่อตามพระโสดาบัน ต้องเลือกเชื่อเหมือนกัน พระสงฆ์นี่ก็มีหลายประเภท ประเภทที่เรียกว่าบวชเข้ามาเฉยๆ  บวชลับบวชลี้ บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน เป็นต้น...รวมความว่า พระที่บวชเข้ามาในตอนต้นท่านเรียกว่า "สมมุติสงฆ์" อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ยอมรับว่าเป็นพระ พระประเภทนี้เราต้องเลือกท่าน ดูว่าจริยาองค์ไหนดีพอสมควร ควรยอมรับนับถือได้ เราก็ยอมรับนับถือ ถ้าจริยาไม่ดี ไม่ควรยอมรับนับถือ เราก็เฉยเสีย ไม่ใช่ด่า แต่เฉย ไม่สนใจ ทีนี้พระที่เรายึดได้จริงๆก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป...คำว่าพระโสดาบันขึ้นไป ท่านไม่มีเครื่องหมายพระอริยเจ้า ถ้าไปถามเข้ายิ่งเละไปใหญ่เลย ถามว่าพระคุณเจ้าบรรลุอะไร เป๋เลย เสร็จ!...เดี๋ยวก็ฉุดเข้าป่าเข้าดงไป ถ้าองค์ไหนบอกว่าฉันเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ องค์นั้นไม่ต้องไล่ก็ได้ ไม่ใช่พระแล้ว เลิกกัน ถ้าพระอริยเจ้าเขาไม่อวดตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นพระโสดาบันเขารู้ว่าเขาแย่ เพราะยังไม่ได้นิพพาน ไม่เป็นเรื่อง ไม่เห็นอะไรดีเลย....รวมความว่า เราก็ต้องตั้งใจยอมรับนับถือพระที่ทรงอารมณ์จริง คือท่านไม่ละเมิดพระธรรมวินัย ไม่คัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ตายแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าจิตเราเป็นกุศลไปสู่สุคติ จิตเป็นอกุศลไปสู่ทุคติ ถ้ายังไม่หมดกิเลสต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ถ้าใครเขาค้านคำนี้แสดงว่าคนนั้นไม่ใช่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ตามเขาเราก็เจ๊ง ก็เป็นอันว่า เรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง คำพูดที่ไม่เป็นภัยกับใคร นี่คือพระธรรมของพระพุทธเจ้าจริง พระสงฆ์ที่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า คือ ยอมรับนับถือกฏของกรรมจริง เราไม่สงสัย อันนี้ได้ข้อที่ 2

3. สีลพตปรามาส คือ ทรงศีลให้บริสุทธิ์  สำหรับศีลนี่ทุกคนมีแล้ว ทุกคนมีศีลอยู่แล้ว ตัวที่เราไม่ขาดมันมีประจำอยู่แล้วนะ มีอยู่แล้วทุกคน ตัวที่เราไม่ละเมิด แต่ว่ามีบางสิกขาบทที่เราละเมิด บางครั้งเราละเมิดจริงจัง บางครั้งละเมิดเผลอๆ ก็ค่อยๆยับยั้งตัวที่เราคอยละเมิดอยู่นี่ ตั้งใจไว้อย่างนี้ซิ

          จะเห็นว่าองค์หลวงพ่อท่านได้แนะแนวทางให้กับนักปฏิบัติทั้งหลาย เพื่อเอาไว้ใช้เป็นหลัก...ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันไป โดยขาด เป้าหมายที่แน่นอนของการเจริญพระกรรมฐาน ผู้เขียนซึ่งนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพียงแต่หวังว่า เหล่ากัลยาณมิตรทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อมุ่งหน้าตรงถึงพระนิพพานอันเป็นที่สุดของพวกเราทั้งหลาย...!!!

ที่มา : หนังสือ "คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง 21"

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story


วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

นิทานธรรม..."หินลับปัญญา"...พาสุขใจ...!!!

          ก่อนจะเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ผมขอบอกความหมายของคำว่า "หินลับปัญญา" เสียก่อน...'ความหมายของมันคือ การหมั่นสร้างสรรค์สติปัญญาของตนให้มีความฉับไวในการหมุนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต'...ไม่ว่าจะเป็นขยะหรือปุ๋ย ให้เป็นคุณประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น"...

ต่อจากนี้ไปก็มาเข้าเรื่องของนิทานที่ผมไปอ่านเจอ จากหนังสือเล่มหนึ่ง  เมื่ออ่านเนื้อหาของเรื่องแล้ว รู้สึกอยากจะแบ่งปันไปสู่กัลยาณมิตรทุกๆท่าน จึงจัดการเปิดคอมพิวเตอร์แล้วลงมือพิมพ์เรื่องราวของนิทานทันที...ดังที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้...มีหลวงตาองค์หนึ่งท่านมี "ปั้นน้ำชา" ลายครามอยู่ชุดหนึ่ง ซึ่งโยมอุปัฏฐากเอามาถวายแล้วขอให้ท่านนำมาใช้บ่อยๆเพื่อให้เขาได้บุญ  เช้าขึ้นมาหลวงตาก็ต้องคอยบอกเด็กที่ดูแลว่า "เจ้าจงดูแล ปั้นน้ำชาดีๆนะ...อย่าไปทำมันแตก!"...

http://dharmaishere.blogspot.com


ปรากฏว่าวันหนึ่ง เด็กทำปั้นน้ำชาแตกตั้งแต่เช้าก่อนที่หลวงตาจะออกจากห้อง เด็กก็ใจไม่ดี วันนี้คงต้องโดนหลวงตาดุเป็นแน่ เพราะหลวงตาจะคอยสั่งทุกเช้าค่ำว่าให้ดูแลให้ดี เจ้าของต้องการให้ใช้ได้นานๆ เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลให้เขา...พอหลวงตาออกมา เด็กก็ถามว่า "หลวงตาครับ หลวงตาเป็นคนสอนว่าอะไรๆก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด อะไรๆมีก็เหมือนไม่มี ใช่ไหมครับ?"...หลวงตาก็งง วันนี้ทำไมลูกศิษย์เกิดจะมาสอนธรรมเรา เด็กถามต่อไปว่า "แล้วหลวงตาทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า ทำอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ?"...หลวงตาก็ซักไซ้ไปมาจนเด็กสารภาพว่า "ปั้นน้ำชาของหลวงตา มีก็เหมือนไม่มี เพราะมันแตกไปเสียแล้ว"...เมื่อลูกศิษย์พูดจบ หลวงตาท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะจริงๆแล้ว ท่านก็เห็นอย่างนี้...

ตั้งแต่ได้ปั้นน้ำชามา ท่านก็ตั้งในใจเอาไว้ว่า "มันแตกเรียบร้อยไปแล้ว"...ถ้าไปยึดว่าปั้นอันนี้เป็นปั้นลายคราม มีค่ามีราคา ใจมันจะต้องกระเพื่อมทุกวี่ทุกวัน ได้ยินเสียง "เพล๊ง!"...เมื่อไหร่ ก็จะต้องคอยถามว่า "ปั้นน้ำชาแตกหรือเปล่า"...แต่เมื่อทำใจตั้งแต่วันแรกที่เขาเอามาถวายแล้วว่า...ปั้นอันนี้มีได้ก็แตกได้...จึงมองเหมือนปั้นแตกอยู่ทุกวัน แต่ตราบเท่าที่ยังไม่แตก ก็ต้องคอยดูแลรักษา แผ่ส่วนกุศลให้เจ้าของได้บุญไป...ดังนั้นเมื่อลูกศิษย์ได้บอกว่า ปั้นมีก็เหมือนไม่มี เพราะแตกไปเสียแล้ว หลวงตาก็ปลดก็วางตามสภาพความเป็นจริง ท่านรำพึง "โล่งใจเสียที"...แต่นี้ต่อไป คงหมดหน้าที่ในการรักษาสมบัติชิ้นนี้ ซึ่งทำให้ท่านเป็นภาระเหน็ดเหนื่อยมานานแล้ว...

หลวงตาท่าน ใช้ทุกอย่างเป็นหินลับปัญญาอย่างดีที่สุด คือ ท่านเห็นเสียก่อนที่มันจะเป็นไป เมื่อ ไตรลักษณ์ ปรากฏขึ้นจริง การเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง จึงไม่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ เพราะใจของท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น...นิทานธรรมในแบบฉบับของหินลับปัญญาในเรื่องนี้ ทำให้เรามองย้อนมาสอนตนเองได้ เราไม่อยากแก่ เรากลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตาย เรามองตัวเองทุกวัน แต่มองทีไรก็เห็นตัวเองยังหนุ่มยังสาวอยู่ ก็ให้เราไปมองคนแก่คนเฒ่าหรือคนเจ็บ แล้วเอาความแก่ความเจ็บไข้ มาใส่เข้าไปในตัวเรา ว่าจริงๆแล้ว เรากับเขาก็เหมือนกัน....เมื่อปล่อยได้ วางได้เช่นนี้แล้ว หากใจไม่เป็นทุกข์ แต่กลับมีความอิ่มเอิบ ...มันจึงพาความสุขใจมาให้เจ้าของ นี่แหละ...หินลับปัญญา...!!!

ที่มา : หนังสือหินลับปัญญา โดย : อมรา มลิลา
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story