จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

ถ้าไม่รู้...คงตายตาไม่หลับ...กับเรื่องราวของ พระนางสามาวดีอุบาสิกา "ผู้อยู่ด้วยเมตตา" (ตอนที่ 2)...!!!

ความต่อจากตอนที่ 1...
ในครั้งนั้น ภัททวดียเศรษฐี บิดาของนางสามา ได้เป็นเพื่อนกับโฆษกเศรษฐี แต่ท่านทั้ง 2 คน เป็นเพื่อนที่มิเคยพบเห็นกันเลย...มูลเหตุที่เศรษฐีทั้ง 2 คน จะได้เป็นเพื่อนกันนั้น สืบเนื่องมาจาก โฆษกเศรษฐีได้ฟังสมบัติและวัย ตลอดถึงประเทศของ ภัททวดียเศรษฐีจากพวกพ่อค้าที่มาจากแคว้นภัททวดีย์ เมื่อต้องการเป็นสหายกับภัททวดียเศรษฐี จึงส่งเครื่องบรรณาการไปให้...ด้วยเหตุนี้ เศรษฐีทั้ง 2 คน จึงเป็นสหายที่มีบรรณาการเป็นสื่อสัมพันธ์ โดยไม่เคยพบเห็นหน้ากันเลย...

กาลครั้งหนึ่ง มีอหิวาตกโรคเกิดขึ้นในบ้านของภัททวดียเศรษฐี เมื่ออหิวาตกโรคเกิดขึ้นแล้ว ฝูงแมลงวันได้ตายไปก่อน ต่อมาก็แมลงสาบ หนู ไก่ สุกร สุนัข แมว โค ทาสหญิง ทาสชาย ตายลงเป็นลำดับกันไป ส่วนบุคคลที่เป็นเจ้าของเรือนย่อมตายทีหลังเขาทั้งหมด...ในบรรดาบุคคลเหล่านั้น พวกใดทำลายฝาเรือนหนี พวกนั้นย่อมรอดชีวิตได้...ในกาลนั้น ภัททวดียเศรษฐี ภรรยาและนางสามาลูกสาว ได้พากันหนีไปโดยวิธีนั้น และต้องการพบกับโฆษกเศรษฐี จึงได้เดินทางไปสู่เมืองโกสัมพี



บุคคลทั้ง 3 นั้น มีร่างกายอิดโรยด้วยลมและแดดที่แผดเผา อีกทั้งมีความหิวกระหาย เนื่องจากเสบียงกรังหมดสิ้นลงระหว่างทาง ทั้ง 3 คน ได้เดินทางถึงเมืองโกสัมพีด้วยความลำบากยากแค้นแสนเข็ญ จากนั้นพากันอาบน้ำชำระกายในสถานที่มีน้ำสบาย แล้วจึงเข้าไปพักที่ศาลาหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูเมือง...ในเวลาที่พักอยู่ที่ศาลาหลังนั้น ภัททวดียเศรษฐีพูดกับภรรยาว่า "ดูก่อนนางผู้เจริญ ผู้ที่มาด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมไม่เป็นที่พอใจ แม้กระทั่งของมารดาผู้บังเกิดเกล้า ได้ยินข่าวว่า โฆษกเศรษฐีสหายของเรา ได้สละทรัพย์วันละ 1,000 กหาปณะ ให้ทานแก่คนเดินทางไกลและคนกำพร้าเป็นต้น เราให้ลูกสาวไปที่โรงทานของสหาย เพื่อนำอาหารมาเลี้ยงกันในที่นี้สัก 2-3 วัน แล้วจึงไปหาโฆษกเศรษฐีสหายของเรา" 

ภรรยาภัททวดียเศรษฐีตอบรับคำของสามี "ดีแล้ว คุณพี่" ...บุคคลทั้ง 3 พากันพักอยู่ในศาลานั้น พอรุ่งเช้า เมื่อเขาบอกเวลาเข้าขอรับอาหารให้ทราบ คนกำพร้าและคนเดินทางไกลเป็นต้น ต่างกำลังเดินไปรับอาหารจากโรงทาน พ่อและแม่ของนางสามาจึงบอกลูกสาวว่า "ดูก่อนลูกสามา ...ลูกจงไปนำอาหารมาเพื่อพวกเราเถิด"...นางสามาแม้เป็นลูกสาวของตระกูลที่มีสมบัติมาก เมื่อถึงคราวจำเป็นนางก็ไม่อาย เพราะตนมีความหิวตัดความละอายที่มีอยู่ขาดไปแล้ว นางจึงถือภาชนะไปขออาหารพร้อมกับพวกกำพร้า มิตตกุฎมพี ซึ่งเป็นผู้จัดการให้ทานของโฆษกเศรษฐี ถามนางสามาว่า "นี่แน่ะแม่คุณ...เธอจะรับอาหารกี่ส่วน?" นางสามาตอบว่า "ข้าแต่นาย...ดิฉันขอรับ 3 ส่วนเจ้าค่ะ" เมื่อนางสามาได้อาหารมาแล้ว ทั้ง 3 คน พ่อแม่ และลูก นั่งบริโภคร่วมกันตามประสายาก...

ครั้งนั้นมารดาและนางสามา จึงพูดกับภัททวดียเศรษฐีว่า "อันความวิบัติฉิบหายย่อมเกิดขึ้นแก่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายได้ ขอท่านจงรับประทานอาหาร อย่าเป็นห่วงดิฉันทั้ง 2 คน ขอท่านอย่าคิดมากไปเลย" บุคคลทั้ง 2 ได้พูดจาอ้อนวอนภัททวดียเศรษฐีด้วยถ้อยคำนานัปการอย่างนี้...ครั้นเมื่อภัททวดียเศรษฐีได้บริโภคอาหารแล้ว ไม่สามารถทำให้อาหารย่อยไปได้ พออรุณขึ้นเขาก็ตายไป  มารดาและนางสามาร้องไห้คร่ำครวญแสดงอาการเสียใจต่างๆ...รุ่งเช้าของวันใหม่ นางสามาเดินร้องไห้ไปเพื่อขออาหาร เมื่อมิตตกุฎมพีเห็น นางจึงถามว่า "เธอจะรับกี่ส่วน? แม่คุณ!" นางสามาจึงตอบว่า "ข้าแต่นาย...วันนี้ดิฉันขอรับ 2 ส่วน เจ้าค่ะ" ได้ฟังดังนั้น มิตตกุฎมพีจึงได้ให้อาหารแก่นาง 2 ส่วน...เมื่อนางสามานำอาหารมาได้แล้ว ก็พูดอ้อนวอนมารดาให้รับประทานอาหาร ฝ่ายมารดาเมื่อลูกสาวพูดอ้อนวอนอยู่ จึงรับประทานอาหารนั้น แต่ก็ไม่ทำให้อาหารย่อยไปได้ นางตายลงไปในวันนั้นเอง...นางสามาหมดที่พึ่ง จึงได้ร้องไห้รำพันอยู่ผู้เดียว เป็นผู้มีความทุกข์ เกิดจากความหิว พร้อมกับทุกที่ต้องเสียทั้งบิดาและมารดา นับเป็นความทุกข์ที่หนักยิ่ง นางเดินร้องไห้ไปกับพวกยาจกเพื่อขออาหารที่โรงทาน...เหตุการณ์นับจากนี้จะเป็นเช่นไร...โปรดติดตามในตอนที่ 3 นะครับ...!!!


ที่มา : หนังสือ "พระนางสามาวดีอุบาสิกา ผู้เป็นเลิศด้าน "ผู้อยู่ด้วยเมตตา"
เรียบเรียงโดย : อ.จำเนียร ทรงฤกษ์ ( วัดสังฆทาน )
บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น