จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มาสร้างบุญด้วยการ "สวดมนต์ข้ามปี"...กันเถอะ...!!!

วันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปีถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งสำหรับคนไทยทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธ ซึ่งนิยมเดินทางไปสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเองที่วัดใดวัดหนึ่ง ด้วยการเข้าร่วมในพิธีที่เรียกกันจินติดปากว่า "สวดมนต์ข้ามปี"  เราชาวพุทธทั้งหลายมีความเชื่อกันว่า "การสวดมนต์" จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์ทางด้านจิตใจ ช่วยทำให้จิตที่สับสนวุ่นวายนั้นบังเกิดความสงบได้ และความสงบนี้แหละที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญาต่อไป ตามหลักของพระพุทธศาสนา

yutjoke.blogspot.com


ตามผมมาซิ...ผมมีอานิสงส์ของการสวดมนต์มาฝาก...ครั้งหนึ่งที่เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่า "ยังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย เสียเวลามากและฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จอรหันต์"

เมื่อได้อ่านมาถึงตรงนี้ รู้สึกมีกำลังใจในการสวดมนต์ขึ้นบ้างหรือไม่ครับ...ตามผมมานะ ผมจะหาบทสวดมนต์สักบท เอาไว้ให้คุณๆทั้งหลายนำไปสวดกันในค่ำคืนของวันสำคัญเช่นนี้...


บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ
พระพุทธคุณ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

พระธรรมคุณ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

พระสังฆคุณ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ 

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ



ใช่แล้วครับ นี่คือบทสวด "อิติปิโส" พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ...แค่นี้ก็แหล่มเลิศเลอเพอร์เฟคแล้วล่ะครับ...ก็ได้แต่หวังว่าทุกท่านคงจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย และขอร่วมอนุโมทนาบุญที่ได้รับจากการ "สวดมนต์ข้ามปี" ของคุณผู้อ่านทุกคนด้วย...สาธุครับ...!!!

วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีจัดการให้ Blogspot ลิงค์กับ Facebook Fan Page...!!!

ขั้นตอนที่ 1 :
       
          Login เข้าสู่ Facebook ของคุณ แล้วไป Copy URL ของ Facebook Fan Page ของคุณเก็บไว้ใน Notepad หรือ อะไรก็ได้แล้วแต่ความถนัด ดังตัวอย่าง ใน รูปที่ 1 และ รูปที่ 2

รูปที่ 1 : Copy URL ของ Facebook Fan Page
รูปที่ 2 : Copy URL ของ Facebook Fan Page มาวางไว้ที่ Notepad
ขั้นตอนที่ 2 :

          เราใช้ URL ดังต่อไปนี้ : http://developers.facebook.com/plugins  เพื่อ Link ไปยังหน้าที่เราต้องการ Set ค่าต่างๆ ดังรูปที่ 3


รูปที่ 3
เมื่อเคาะ ENTER จากตัวอย่างใน รูปที่ 3 ก็จะปรกฏผลลัพธ์ดัง รูปที่ 4


รูปที่ 4
แล้วผลที่ตามมาหลังจากการคลิก Mouse ตาม รูปที่ 4 ก็จะได้ผลลัพธ์ดังตัวอย่างใน รูปที่ 5


รูปที่ 5
ถ้าเราใส่ URL ของหน้า Facebook Fan Page ได้อย่างถูกต้อง ตามกรอบสีแดง ก็จะปรากฏรูปของเพื่อนๆที่ได้เคยกด Like มาให้กับ Facebook Fan Page ของเรา 
กรอบสีเขียว : จะแสดงความกว้างจากซ้ายไปขวา
กรอบสีน้ำเงิน : คือ ความสูง
กรอบสีน้ำตาล : คือ สีของกล่องข้อความ ( light - สว่าง),(dark - มืด)


รูปที่ 5.1
รูปที่ 5.1 แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกล่องข้อความ เมื่อเปลี่ยนจาก light มาเป็น dark

สำหรับในช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่สำหรับเอาไว้ติ๊กจะมีความหมายดังนี้
Show Friends'Face : ถ้าติ๊กเลือก ก็คือการแสดงรูปโปรไฟล์ของเพื่อนสมาชิกดังในรูปที่ 5 และ รูปที่ 5.1
Show Header : ถ้าติ๊ก ก็เพื่อให้แสดงส่วนหัวของเพจ ดังตัวอย่างใน รูปที่ 6


รูปที่ 6
สำหรับคำว่า : พบกับพวกเราได้บน Facebook  เราต้องไป Set ค่าใน Blog ของเรา ดังขั้นตอน ต่อๆไปที่จะแสดงให้ดู ตามรูปที่ 11

Show Posts : โชว์ให้เห็นถึงผลงานนที่เราได้โพสต์ไปแล้ว ดังตัวอย่างใน รูปที่ 7


รูปที่ 7

Show Border : คือเส้นขอบของกล่องข้อความดังตัวอย่างใน รูปที่ 8
หมายเหตุ : จาก รูปที่ 8 เรายกเลิกการติ๊กที่ Show Posts


รูปที่ 8

เมื่อ Set ค่าเป็นที่ถูกใจแล้ว ให้คลิก Get Code ดังตัวอย่างใน รูปที่ 8 ก็จะได้ ผลลัพธ์ดังใน รูปที่ 9

รูปที่ 9
กลับไปที่ Blog ของเรา จากนั้น คลิกที่เมนู รูปแบบ แล้วเลือก เพิ่ม Gadget ดัง รูปที่ 10

รูปที่ 10
จะขึ้นหน้าต่างดัง รูปที่ 11 จากนั้นก็ให้พิมพ์คำพูดที่ต้องการให้แสดงตรง Show Header ในตัวอย่างนี้เราใช้คำว่า "พบกับพวกเราได้บน Facebook" แล้วก็เอา Code ที่เราได้ Copy เตรียมเอาไว้มา Paste ลงไปตามที่แสดงให้ดู ใน รูปที่ 11 แล้วคลิกคำว่าบันทึก

รูปที่ 11

จะได้ผลลัพธ์ดัง รูปที่ 12 จากนั้นให้คลิกคำว่า "บันทึกการจัดเรียง" เป็นขั้นตอนสุดท้าย

รูปที่ 12
แล้วจะได้ผลลัพธ์จากสิ่งที่เราต้องการ คือ : การให้ Blogspot ลิงค์กับ Facebook Fan Page
ดังแสดงให้เห็นดัง รูปที่ 13

รูปที่ 13
บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story






"ใ จ ส ล า ย"...มันถึงตาย....เชียวหรือ?...!!!

ณ โรงพยาบาล แห่งหนึ่ง...ห้องพักสำหรับผู้ป่วยมีขนาดกำลังดีไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปนัก  ลักษณะภายในห้อง ดูโปร่งๆ สบายๆ ไม่รู้สึกถึงความอึดอัด เมื่อสัมผัสด้วยตา จะเห็นถึงความสะอาดสะอ้านของพื้นที่...ข้าวของเครื่องใช้สำหรับคนป่วยและคนเฝ้าไข้ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย ในตำแหน่งที่เหมาะสม ผสมผสานกับกลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ที่ลอยมาเตะจมูกเป็นระยะๆ...หน้าต่างที่เป็นกระจกใสทั้งบานถูกปิดแนบสนิท ...บริเวณด้านหน้ามีม่านกันแสงบังอยู่อีกชั้นหนึ่ง...เครื่องปรับอากาศก็ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีไม่มีอะไรติดขัด...อุณหภูมิภายในห้องจึงรู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย...ดอกกุหลาบสด มีทั้งดอกสีแดงสลับขาวถูกจัดเรียง ซ้อนสูงต่ำเป็นลำดับชั้นอย่างสวยงาม ภายในแจกันที่วางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง ที่อยู่ติดด้านข้างของเตียงผู้ป่วย ซึ่งบัดนี้มีร่างอันไร้สติของหญิงสาวนอนอยู่...ที่แขนข้างหนึ่งของเธอถูกพันธนาการไว้ด้วยสายน้ำเกลือ ท่ามกลางดวงตาหลายคู่ที่คอยเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วง...

เหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ...หลังจากที่ตัวเธอได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 2 โมงของเมื่อ 3 วันที่แล้ว  เมื่อเสร็จธุระจากการสนทนากับคนปลายสาย เธอกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เธอหันซ้ายหันขวา ปากก็บ่นพึมพัม อากัปกริยาเงอะงะ งวยงง ดูเลื่อนลอยเป็นพักๆ เหมือนคนขาดสติ ...ประมาณสัก 2-3 นาทีผ่านไป ตัวเธอเหมือนกำลังจะรวบรวมสติสตังได้อีกครั้ง แล้วหันหลังกลับเพื่อเดินไปที่โต๊ะทำงานของเธอ...เธอเก็บรวบรวมเอกสารทุกอย่างเข้ามารวมเป็นกองเดียวกัน มือข้างหนึ่งคว้ากระเป๋าสะพายประจำตัว แล้วเดินออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว คงไม่ทันได้ยินคำถามไล่หลังของเพื่อนๆด้วยซ้ำไป

เมื่อเดินทางมาถึงจุดหมายซึ่งอาจจะเป็นที่ใดที่หนึ่ง...ที่ตัวเธอได้คุยและตกลงกับคู่สนทนาเอาไว้...เธอก้าวลงจากรถ พร้อมกับยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาดูเวลา...3 ชั่วโมงเศษ ที่ต้องเสียไปกับการขับรถมาถึงที่นี่...ในขณะที่เธอมองออกไปรอบๆเพื่อสำรวจสถานที่ก็เป็นจังหวะเดียวกับโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น...เธอถามไปยังปลายสายถึงทิศทาง...ของสถานที่ๆได้นัดกันเอาไว้...เมื่อมองออกไปตามเสียงบอกอย่างเป็นขั้นตอน ทำให้เธอเจอกับรีสอร์ทหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ทางขวามือของเธอโดยเยื้องขึ้นไปทางด้านหน้าพอประมาณ  เธอวางโทรศัพท์ลงเมื่อเห็นใครคนหนึ่งโบกมือไหวๆ...เธอจึงก้มหน้าก้มตารีบเดินไปยังที่นั้นโดยที่ไม่ทันสังเกตว่า มีใครคนหนึ่งจ้องมองการเคลื่อนไหวของเธอแทบไม่กะพริบตา...

เธอหายเข้าไปในรีสอร์ทกับผู้หญิงคนที่กวักมือเรียก ถึงร่วมพูดคุย หรืออะไรสักอย่างอยู่ในนั้นร่วม 3 ชั่วโมง...หลังจากที่เธอเดินกลับออกมาอีกครั้งก็เป็นเวลา เกือบ 3 ทุ่ม...ลักษณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งของเธอ สลับกับการยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มเป็นบางครั้ง มันก็ยิ่งทำให้ใครคนนั้นที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเธอ  ...ดูร้อนรนและกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น...เสียงดัง ปิ๊ด ปิ๊ด ของรีโมท เธอดึงประตูด้านข้างคนขับให้เปิดออก แต่เธอกลับยืนหลับตานิ่งอยู่สักครู่ เหมือนสมองกำลังครุ่นคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ที่ดูสับสนและหนักหน่วงเอาการ...

เวลาตี 3 เศษ...ในคืนเดียวกันนั้น...เสียงโทรศัพท์ได้ดังขึ้นที่บ้านของเธอ กินเวลานานพอสมควรกว่าที่จะมีใครสักคนตื่นขึ้นมารับสาย...และก็เป็นคุณแม่ของเธอ ที่คงจะทนนอนฟังเสียงโทรศัพท์เข้าไม่ไหว  ซึ่งดูเหมือนมันจะดังกว่าปกติในคืนอันสงบเงียบเช่นนี้...เปรี๊ยะ !!!...เสียงโทรศัพท์ที่บัดนี้ได้ร่วงหลุดจากมือของคุณแม่ ตกลงกระแทกพื้นแตกกระจาย   เสียงนั้นมันดังพอที่จะปลุกทุกคนในบ้านให้ตื่นขึ้น หลังจากที่คุณแม่ได้รับทราบอะไรบางอย่างจากคู่สนทนา แล้วร่างของคุณแม่ก็พลอยร่วงผล็อยหมดสติลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น ก่อนที่ใครสักคนในบ้านจะเดินมารับร่างนั้นได้ทัน....

สารพิษบางอย่างที่เธอกินเข้าไปในคืนวันเกิดเหตุนั้น มันทำให้ วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วที่ร่างของเธอยังคงไม่ได้สติ...น้ำตาของผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ และ ญาติพี่น้องทุกคน...หลั่งไหลออกมาแทบไม่ขาดสายในทุกวันที่ได้มาเฝ้าดูอาการ...หรือ แม้แต่ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้สะกดรอยตามเธอไปในคืนวันนั้น จนในที่สุดก็เป็นคนช่วยนำเธอมาส่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้....ความรักและความปรารถนาดีที่เขามีให้กับเธอมันมากมาย และไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังคงเฝ้าห่วงใย ติดตามความเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลาในทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ว่าในครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้น เป็นเธอเองที่ปฏิเสธความรักที่เขาได้มอบให้ แล้วไปเลือกใครอีกคนเข้ามาแทนที่...



ไม่มีใครรู้ว่าเธอเข้าไปในรีสอร์ทแห่งนั้น ไปเจอะเจอกับอะไรมาบ้าง...นอกจากตัวเธอ กับแม่สาวคนนั้น...ถ้าหากในตอนนี้เธอมีโอกาสได้ตื่นขึ้นมาดูคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ แล้วก็ยังมีคนที่รักที่ห่วงใยเธอ  ทุกๆคนต้องเคร่งเครียด เศร้าโศกเสียใจ เสียน้ำตา หัวใจแทบสลาย...เธอจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ...คุ้มหรือไม่กับเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่เธอไปเจอ ...และต้องการจะแลกกับสิ่งนั้นด้วยการฆ่าตัวตาย...มันหาใช่แต่เพียงชีวิตของเธอเท่านั้นที่ต้องสูญเสีย...เธออาจจะได้รู้และก็เข้าใจ...ถ้าในเวลานี้...เธอมีโอกาสลืมตา...ขึ้นมองดูพวกเขา...อีกครั้ง...!!!

บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story


วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

บ้าน...คือ...วิมานของเรา...จริงๆ...!!!

บ้าน...คือ สิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่มันคือชีวิต...คงจะไม่เกินเลยไปนะ หากจะกล่าวเช่นนี้...บ้านจะใหญ่ หรือ บ้านจะเล็ก ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับปริมาณของความสุขที่อยู่ข้างใน หรือจะพูดเปรียบเปรยไปทำนองว่า ปริมาณของความสุขมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ขนาดของบ้าน ...มีบางอย่างที่ผมจำได้ไม่เคยลืม คือ เสียงโขลกน้ำพริกกะปิแบบไทยๆของแม่ เสียงดัง...ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก !!!...ในเย็นวันนั้นสมัยที่ผมเองยังเป็นเด็กตัวเล็กๆกำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา   กลิ่นหอมของมะนาวที่โชยมาพอได้กลิ่น แม่ค่อยๆบรรจงบีบมันลงไปในครก ตามด้วยน้ำปลาตามสูตรการทำของแม่ รสชาดอร่อยถูกใจทุกคนในครอบครัวยิ่งนัก มื้อไหนก็ตามที่ได้กินน้ำพริกปลาทู มีผักบุ้งลวก มะเขือ แตงกวา เป็นเครื่องเคียงด้วยแล้วล่ะก็ ผมจะกินข้าวจนพุงกางอย่างไม่ต้องสงสัย เลยได้ฉายาจากแม่ว่า "ไอ้เจ๊กน้ำพริก"  ถ้าจะพูดว่า ในความคิดของผม น้ำพริกกะปิฝีมือของแม่ผม "อร่อยที่สุดในโลก" ก็คงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดสำหรับผมอยู่ดีนั่นแหละ

หลายครั้งที่ชีวิตของผม ประสบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องงาน หรือแม้แต่เรื่องความรัก บ้านของผมคือสถานที่ๆเดียวที่ผมได้กำลังใจแบบไร้สารเจือปน มันเป็นคำพูด ที่แสดงถึงความปรารถนาดีจริงๆ ไม่ว่าจะออกมาจากปากของคนที่เป็น พ่อ แม่ พี่ หรือ น้อง หากความเป็นจริงแล้วคำพูดเหล่านั้นจะไม่ได้ทำให้ปัญหาต่างๆคลี่คลายลงเลยก็ตาม  ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า คำพูดเหล่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นและสร้างความสุขให้ผมอย่างประหลาด หรืออาจจะเป็นเพราะบ้านคือสถานที่ๆเดียวที่ผมไม่ต้องระแวงระวังว่าจะมีภัยใดๆเคลือบแฝงมากับคำพูดเหล่านั้นก็เป็นไปได้

เรื่องเก่าบางเรื่องของผมที่หยิบยกมาเล่านี้ ก็เพราะเรื่องราวเรื่องนั้นมันเป็นความทรงจำที่สุดวิเศษ ผมคิดว่าไม่เฉพาะแต่ผมเท่านั้น ที่มีความทรงจำดีๆเช่นนี้กับคนในบ้าน แม้ว่าบ้านที่ผม หรือที่คุณๆจะอาศัยอยู่อาจเป็นแค่เพียงหลังเล็กๆ บางบ้านอาจจะเป็นแค่กระท่อมน้อยๆ หลังคามุงจากด้วยซ้ำไป แต่บ้านก็ยังเป็นบ้านที่สามารถสร้างความสุขให้กับเราเหมือนลอยอยู่ในวิมานชั้นฟ้า...



บ้าน...จึงไม่ใช่สิ่งไร้ชีวิต...เป็นแค่เพียงที่หลบแดด หลบฝน หรืออาศัยพักผ่อนนอนหลับไปวันๆเท่านั้น...แต่บ้านคือ ที่เก็บความรัก ความปรารถนาดี ความอบอุ่น และอีกมากมาย แบบไม่มีประมาณ... บ้านสามารถดูดซับเอาความทุกข์ของผู้ที่เป็นสมาชิกในบ้านไปทิ้ง แล้วเติมความสุข เข้ามาแทนที่...เพราะคำว่าบ้านมันไม่ได้สะกดว่า..." บ - ้ า - น "...หากแต่คำสะกดที่ถูกต้องมันควรจะเป็น "พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก หลาน เหลน"...เพราะบ้านมันแปลว่า...ครอบครัวของเรา...!!!

บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story




บ่องตง!!!...ตรูกลัวเครื่องบินอ่ะ...^-0-^

เครื่องบินตก!!!...เมื่อวานนี้ช่วงสายๆ...วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2557 ได้มีโอกาสนั่งดูซีรี่เกาหลีเรื่องหนึ่ง กำลังบิ้วอารมณ์ให้อินไปกับบทบาทของพระเอกนางเอกในจอ...รู้สึกฟินอยู่ดีๆ...ภาพในจอทีวีก็ตัดฉับ...มีป้ายขึ้นว่า...ข่าวด่วน...ง่ะ!!!...ตอนนั้นนึกในใจ...อะไรอีกว๊า... แค่เพียงอึดใจเล็กๆก็มีผู้ประกาศข่าวผู้ชายโผล่หน้าหล่อๆออกมาบอกโดยสรุปใจความได้ว่า เครื่องบินของสายการบินหนึ่ง การพูดคุยสื่อสารระหว่าง หอบังคับการบิน กับนักบิน..."ขาดการติดต่อ"...การประกาศออกมาแบบนี้ คนฟังเช่นผมก็คิดเลยไปไกลแล้วว่า...คงตกแน่ๆ ตอนนั้นรู้สึกเซ็งในอารมณ์พอสมควร สงสารผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องบินเห็นว่าประมาณ 160 ชีวิต...ผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย คิดแทนเขาต่างๆนานา แล้วสมองเจ้ากรรมมันก็ดันสมมุติขึ้นมาว่า ถ้าเป็นเราไปอยู่บนเครื่องบินลำนั้น ถ้าเครื่องบินกำลังจะตก มันจะเป็นยังไงนะ สติสตังคงกระเจิงไปไหนต่อไหน พร้อมมั้ยที่จะตาย คงถามตัวเองวุ่นวายสับสนมากทีเดียว ในช่วงเวลาสั้นๆช่วงนั้น คงมีคำถามต่างๆผุดขึ้นในสมองมากมายนับไม่ถ้วน

แล้วอยู่ดีๆความจำในวัยเด็กมันก็แว่บเข้ามาในสมอง เรื่องเครื่องบิน...คุณพ่อของผมท่านทำงานอยู่ที่สายการบินหนึ่งในสมัยนั้น สายการบินที่ว่านี้คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นภายในสถานที่แห่งนี้ปีละ 2-3 ครั้ง แล้วในวันนั้น ยังไงก็จำไม่ได้แล้ว คุณพ่อผมท่านก็พาผมขึ้นไปบนเครื่องบินโดยสารลำหนึ่งซึ่งจอดอยู่เฉยๆ...ก็รู้สึกตื่นเต้นบ้าง คงด้วยความที่เป็นเด็ก เพราะเด็กมักจะจินตนาการไปเรื่อยแบบหาขอบเขตไม่ได้ หลังจากเดินสำรวจ โน่นนี่นั่น จนเป็นที่พอใจแล้วก็กลับลงมาข้างล่าง และนั่นเป็นครั้งแรกจริงๆที่มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับเครื่องบินลำเป็นๆ แม้ว่ามันจะจอดอยู่เฉยๆก็ตาม

แล้วในวันหนึ่งการโดยสารเครื่องบินจริงๆก็มาถึง...ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นจะรู้สึกเช่นไร กับการโดยสารเครื่องบินเป็นครั้งแรก...สำหรับตัวผมเองนั้น กลัว กังวล และไม่มีความสุข...ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงกลัวการขึ้นเครื่องบินนักหนา...ครั้งนั้นมันจำเป็น จึงต้องไหลตามน้ำกับเขาไป ความรู้สึกตลอดการเดินทาง เมื่อลอยอยู่บนฟ้า...หลับตาไม่ลง...คิดบ้า คิดบอ ไปตามเรื่อง...แต่มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยตลอดการเดินทาง ทั้งขาไป และขากลับ...การตกหลุมอากาศ แบบที่เคยฟังคนอื่นเขาเล่ากันว่าน่าตกใจ น่ากลัว ก็ไม่เห็นมี อาจจะรู้สึกถึงอาการสั่นของเครื่องบินบ้าง แต่ก็แค่เบาๆเท่านั้น



เครื่องบิน...คือการคมนาคมทางอากาศ และเขาก็ถือกันว่า...เป็นการคมนาคมที่มีความปลอดภัยที่สุด แต่ในทุกครั้งที่มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเครื่องบินทีไร มันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำให้คนขี้กลัวเครื่องบินเช่นผม มีความกลัวเพิ่มมากขึ้นไปอีก...ก็หวังว่าเครื่องบินที่ขาดการติดต่อลำนั้น คงจะอยู่รอดปลอดภัย ถึงแม้ว่าความหวังมันคงจะเหลือน้อยเต็มทน...ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองพวกเขาด้วยเถิด...!!!

บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"การแข่งขัน" แบบไร้เหตุผล คืองานชนิดหนึ่ง...ที่สร้างศัตรู...!!

ศัตรู...ฟังดูแล้วน่ากลัวฉิบ...!!! มีใครบ้างอยากมีศัตรูเยอะๆ ยกมือให้ดูหน่อยซิ ฮ่า ฮ่า...ถึงจะยกมือจริงๆผมก็คงมองไม่เห็นอยู่ดี แต่เป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันว่า การที่มีศัตรูมากมายคงจะไม่เหมาะแน่ๆ...ดูดูไปโลกใบนี้มันชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวันแล้ว...ว่าม่ะ!!!!...คนเดี๋ยวนี้มีสภาพทางจิตใจเหมือนถูกบีบคั้นตลอดเวลา อาจเป็นเพราะภาระหน้าที่ๆมีต่อครอบครัวเพิ่มขึ้น ค่าครองชีพในทุกวันนี้มันก็โหดจริงๆนะครับสำหรับคนที่มีรายได้น้อย การแข่งขันในเรื่องต่างๆทางสังคมสูงมากเมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งคนในยุคนั้นก็ไม่ถึงกับใจดีเป็นเทวดาหรอกจ้า แต่ก็ไม่ได้แล้งน้ำใจเหมือนเช่นคนในยุคนี้

ความไว้เนื้อเชื่อใจมันค่อยๆลดน้อยถอยลง คนยุคก่อนเท่าที่ผู้เขียนจำได้ แขกไปใครมา เดินผ่านหน้าบ้าน จะเรียกกินน้ำกินท่า ให้นั่งพักผ่อนกันได้ตามอัธยาศัย ไม่ต้องระแวงระวังอะไรกันให้มากมาย บ้านโน้นทำแกงอะไร ยังมีการยกมาแจกจ่ายให้คนบ้านนี้กิน แต่สำหรับยุคนี้ล่ะ บ้านพื้นที่อยู่ติดกันแท้ๆ ยังไม่เคยคุยกันสักคำก็มีถมไป...จริงมั้ย?...คนเดี๋ยวนี้จึงตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกันมากขึ้น...ดูอย่างเด็กนักเรียนช่างกลซิครับ สมัยก่อนตอนตะลุมบอนกันก็แค่หัวร้างข้างแตก แล้วก็แตกฮือแยกย้ายตัวใครตัวมัน เมื่อต่างคนต่างเจ็บตัว ลองมองดูสมัยนี้บ้าง ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือเรื่องเล่าข่าวสารต่างๆ จะเห็นว่า แค่มองหน้ากันนิดเดียว..."ถึงตาย"...หรือแค่การขับรถปาดหน้า มันต้องถึงกับ "โลกนี้ฉันลาก่อน" เชียวหรือ?...ความเกลียดชังไม่เคยสร้างความสุขให้เกิดขึ้น มีแต่นับวันจะสะสมจำนวนของศัตรูที่คิดร้ายกับเรา มันไม่สนุกเลยจริงๆนะ กับการใช้ชีวิตที่ต้องคอยระแวงไปซะทุกเรื่อง



การแข่งขันที่สูงมากในปัจจุบัน มันคือปัจจัยหลักที่ทำคนให้เกลียดกัน งานการที่ทำ ทุกอย่างต้องชิงดีชิงเด่น และนั่นมันคือการสร้างศัตรู ...ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า โปรโมชั่นของร้านสะดวกซื้อในยุคนี้ เขามีให้สะสมศัตรูบางมั้ย?...ถ้ามี...ก็อยากลองสะสมดูบ้าง...จะได้ไม่ตกเทรนด์...อิอิ

บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

"ยอมถอย"...มิใช่เรื่องเสียหน้า...แต่มันคือการสร้างนิยามของความรัก...ในแบบคุณ !!

อัน...นิยามของความรักนั้นหรือ...คือสิ่งใด?...!! ใครพอจะตอบได้บ้าง... ต่างคนก็คงมีคำตอบอยู่ในใจ...ในแบบที่ ร้อยคนก็ร้อยความต่าง สำหรับในเรื่องนิยามของความรัก ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปจำกัดว่า แบบนั้นผิด แบบนี้ถูก เพราะนิยามสำหรับความรักของแต่ละคนมักจะไม่เหมือนกัน คนหนึ่งอาจบอกว่า "รัก คือ ความเข้าใจ" โดยพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกันแม้ว่าในความเข้าใจที่ว่านั้นอาจมีความต่างแทรกอยู่เป็นระยะๆก็ตามที...อีกคนอาจบอกว่า "รัก คือ การเอาใจใส่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน" คนถัดมาอาจบอกว่า "รัก คือ ความเชื่อใจ ความไว้ใจ และความซื่อสัตย์"

แต่สำหรับเราท่านทั้งหลายมักจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆจนคุ้นหูว่า "รัก คือ ความเข้าใจ" ขอบเขตของความเข้าใจมันมีอะไรบ้าง อย่างไหนกันหรือที่เรียกว่า "ความเข้าใจ" สุดท้ายก็คงมีคำตอบที่แตกต่างกันมากมายเหมือนกับ "นิยามของความรัก" คู่รักใดๆก็แล้วแต่ คือโดยปกติแล้ว ความแตกต่างนั้นถูกแสดงให้เห็นนับตั้งแต่แรกเกิด การเลี้ยงดูจากคุณพ่อ คุณแม่ สิ่งแวดล้อมต่างๆมากมายที่บรรจงหล่อหลอมทำให้ให้คนๆหนึ่งเจริญเติบโตขึ้นมา ในแบบของเขาที่ควรจะเป็น การที่วันหนึ่งต้องมาเจอะเจอใครอีกคน จนเกิดเป็นความรักจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะยอมรับในความเป็นตัวตนของกันและกัน แรกเริ่มเดิมทีปัญหามากมายของคู่รักมักจะถูกปกปิดเอาไว้ด้วยความพึงพอใจในด้านอื่นของคนรัก เช่น ความหล่อ ความสวย ความน่ารัก แต่แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ความเป็นตัวตนของกันและกันมันจะถูกแสดงออกมา หลายคู่ต้องเลิกลากันไป เพราะไม่สามารถยอมรับกันได้...แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ ควรจะทำเช่นไร?...การยอมรับในความต่าง อาจเริ่มจากการที่ต่างคนต่างก้าวถอย เว้นช่องว่างระหว่างกันไว้ สำหรับเตรียมพื้นที่ในการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเข้าใจ ที่ทั้งสองต่างลงมือปลูก รดน้ำพรวนดินร่วมกัน...นี่อาจไม่ใช่สิ่งแวดล้อมเดิมๆที่คนสองคนคุ้นเคยมาตลอดชีวิต หากแต่ถ้าเป้าประสงค์ของการที่จะดำเนินความรักให้ไปตลอดรอดฝั่ง ต้องไม่คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ความเข้าใจที่ดีนั้น มักจะเริ่มจากการให้...คำว่าให้ในที่นี้ก็คงตีความกันไปต่างๆนานา แต่ถ้าเป็นการ "ให้โอกาสซึ่งกันและกัน" ก็ดูเข้าทีไม่น้อย



การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม...บางอย่างของตนเอง ด้วยเหตุผลบางประการที่แฟนอาจไม่ชอบนั้น มักจะเป็นผลด้านบวกเสมอ เนื่องจากทำให้แฟนเกิดความพึงพอใจมากขึ้น นั่นก็หมายถึงการที่เราได้เป็นผู้ให้ การยอมถอย หรือการให้ในลักษณะแบบนี้ ไม่ใช่การยอม หรือการทำให้เสียหน้าแต่อย่างใด หากแต่เป็นการถอยเพียงแค่ครึ่งก้าว เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเดินหน้าเต็มกำลัง...ไม่ต้องกังวลเลยว่า เราจะเดินแบบไร้คนข้างกาย ถ้าคุณสามารถสร้างนิยามของความรัก ให้เป็นไปในแบบ ที่ใช้ความเข้าใจเป็นหลัก บนพื้นฐานของการที่ได้เป็นผู้ให้...ถอยสักนิดนะครับ แล้วภาพความรักของคุณจะชัดเจน...!!!

บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story


"กิจการส่วนตัว" มันง่ายเหมือนที่..."มนุษย์เงินเดือน" บางคนเข้าใจ...!!!...รึ?

"คนในอยากออก...คนนอกอยากเข้า" คิดว่าทุกคนคงเคยได้ยินวลีเยี่ยงนี้ผ่านหูกันมาบ้างไม่มากก็น้อย และอาจจะมีจำนวนมากทีเดียวที่ได้ยินจากหูข้างหนึ่งวิ่งผ่านทะลุไปออกหูอีกข้างหนึ่ง นั่นเพราะอาจเป็นเรื่องที่ไกลตัวของผู้ได้ยินได้ฟังก็เป็นได้ ซึ่งในขณะนั้น มันไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่จะต้องมานั่งขบคิดกับวลีนี้เลย...คนๆหนึ่งใช้เวลาประมาณ 18-19 ปี ในการศึกษาหาความรู้จนถึงระดับที่ได้รับใบปริญญา เมื่อได้รับแล้วก็นำไปใช้เป็นใบเบิกทางในการประกอบสัมมาอาชีพ ส่วนมากก็เข้าไปเป็นลูกจ้าง ไม่ว่าจะรับราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ เอกชนก็ตาม...คนพวกนี้แหละที่เรียกว่า "มนุษย์เงินเดือน" มีหน้าที่ทำงาน ให้สำเร็จตามเป้าหมายของบริษัทที่ได้กำหนดเอาไว้ พอถึงสิ้นเดือน นายจ้างก็จ่ายเงินค่าแรงให้เป็นประจำมิได้ขาด คงมีส่วนน้อย ถึงน้อยมาก ที่เรียนจบแล้วจะมุ่งมั่นมาทำกิจการส่วนตัวเลยทีเดียว


คนทุกคนย่อมมีความคิดที่ไม่แตกต่างกันมากนัก การทำงานในช่วงปีสองปีแรกมักจะเปลี่ยนงานกันบ่อยด้วยสาเหตุหลัก คือต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้น บางคนจะเริ่มอยู่ตัวจากการทำงานจนไม่อยากเปลี่ยนงานเปลี่ยนบริษัทไปที่ไหนอีกก็ขึ้นขวบปี 5 เป็นอย่างต่ำ อายุที่มากขึ้น บวกกับไฟที่เริ่มจะมอดลง หรืออาจเป็นไปได้ที่ว่าเริ่มอยู่เป็น อยู่มันที่นี่แหละ...ว่างั้น!!!... ทางหนีทีไล่ คนไหนดีหรือไม่ดี รับมือง่ายยากอย่างไรรู้หมด ประหนึ่งว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ก็เลยไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนงาน...ถ้าบริษัทห้างร้านที่ตนเองทำงาน อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ตอนเช้าต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ ตี4 ตี5  ...เช้าไป เย็นกลับ เป็นแบบนี้อยู่จนอายุประมาณ 30 ต้นๆ ...คราวนี้จะมีความคิดที่สูงและยิ่งใหญ่กว่าการลาออกหรือเปลี่ยนบริษัทเพื่ออัพเงินเดือนเป็นไหนๆ...นั่นคือ การก้าวออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน...มาเป็นเจ้านายตัวเอง "โลกแห่งกิจการส่วนตัว" กับงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนคิดว่า..."กูทำแล้วจะต้องรวย" เวลานี้แหละ...เหมาะสมที่สุด... เคยขับรถญี่ปุ่นในสมัยตอนเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่ตอนนี้วาดฝันไปไกล อย่างน้อยก็ต้องรถยุโรปแหละว่ะ...ทุกอย่างที่คิดมันจะง่ายแบบนั้นมั้ย?...ร้อยทั้งร้อยถ้ามีใครสักคนมาทัดทาน "อย่าเลย มันเสี่ยง" แต่เชื่อขนมกินได้ คนมันวาดฝันเอาไว้สวยหรู เอาช้างมาฉุดมันก็คงไม่อยู่ แถมจะพาลด่าคนที่มาขัดจังหวะความรวยให้ซะอีกด้วย...จะมีสักกี่คนหนอที่พร้อมจะเจอะเจอกับสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และที่สำคัญ...รู้ไหมว่า "เถ้าแก่" ที่แท้จริง คืออะไร?  พร้อมหรือเปล่า? ที่จะต้องเจอปัญหามากมาย...คำตอบคือไม่หวั่น เพราะ เชื่อมั่นเหลือเกิน ว่าตนเองทำได้ ความอดทนล่ะมีมากน้อยแค่ไหน...ข้อนี้คงคิดไปไม่ถึงอีกนั่นแหละ เพราะคำว่ามนุษย์เงินเดือน เขาจ้างหมื่น แต่ใช้แสน มันโหดร้ายและหนักหน่วงอยู่แล้ว...ความถนัดในงานหรือกิจการที่จะทำมีมากน้อยแค่ไหน...เฮ้ย มันเรียนรู้กันได้ คือแบบว่าทุกอย่างมีคำตอบ เพราะธงมันมีอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงดูง่ายหมด...

มันก็คงไม่ยากจนเกินไปนักถ้ารู้ว่า :
1.เถ้าแก่...คืออะไร?
2..ใจพร้อม กายพร้อม...แล้วเงินในแบงค์ล่ะ...พร้อมไหม?...สายป่านยาวแค่ไหน?
3.ความอดทนที่จะต้องแบกความรับผิดชอบทุกอย่าง ความกดดันทั้งหมด?...มีแค่ไหน?
4.สิ่งที่จะทำ...มีความถนัดไหม?...เห็นคนอื่นทำแล้วรวย ก็เลยอยากทำบ้าง ...ใช่มั้ย?...

เอาแค่ 4 ข้อ ข้างบนนี้ ลองถามแล้วตอบตัวเองหน่อยสิว่า...ผ่านมั้ย 4 ข้อ ถ้าขาดข้อหนึ่งข้อใด...อย่าฝืนเพราะโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จแทบจะไม่มี

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ เพียงแค่ต้องการเตือนพวกมนุษย์เงินเดือนที่ชอบวาดวิมานในอากาศไว้จนสวยหรู โดยที่ขาดความยั้งคิดในบางแง่บางมุมที่ตนเองอาจมองข้ามไป...การเป็นเจ้าของกิจการใดกิจการหนึ่งนั้น มันก็ไม่ยากจนเกินไปหาก คุณๆทั้งหลายมี 4 ข้อที่พร้อมจะปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม...ถ้าคุณมี...โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จได้สอยรถยุโรปมาไว้ขับสักคันสองคันก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมกระมัง...!!!


บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story


วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สายหมอก...ลมหนาว กับ "สาวคนรัก"...@^-0-^@

"กลิ่นหอม" ของกาแฟ...ลอยตามสายลมเย็นอ่อนๆพอสบาย มาเตะเข้าที่ปลายจมูกของชายหนุ่มซึ่งในตอนนี้เขาอยู่ในลักษณะนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้โยกที่ถูกตั้งอยู่นอกระเบียงรีสอร์ทหรูหลังงามแห่งหนึ่ง ท่ามกลางขุนเขาน้อยใหญ่ สลับซับซ้อนไปด้วยดอกไม้สีสดนานาพรรณ บัดนี้เขากำลังทอดสายตามองออกไปประหนึ่งกำลังเพลิดเพลินในการลิ้มรสความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า ระคนไปกับเสียง กริ๊งกรั๊ง!! ของช้อนยามที่ต้องกระทบกับแก้วกาแฟตามจังหวะของการคน


"คิดอะไรอยู่...น๊าา?"...เสียงอ้อนปนทะเล้น ฟังดูแล้วนุ่มนวลชวนฝันเจาะจงยิงคำถามมาที่เขา...ชายหนุ่มจึงได้ละสายตาจากภาพเบื้องหน้า ค่อยๆเบนหน้ามาทางเสียงนั้นทีละน้อย รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากกับดวงตาที่แสดงถึงความรัก ความห่วงใย ได้ถูกแสดงออกมาที่หญิงสาวซึ่งบัดนี้ได้มายืนอยู่ด้านข้างตัวเขาแล้ว


"อากาศดีจังเลยนะครับ"...เขาตอบหญิงสาวไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานสื่อได้ถึงความรักที่มีต่อเธอ พรางสายตาก็จับจ้องมาที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆของหล่อนด้วย หญิงสาวค่อยๆย่อตัวลงที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆจากนั้นจึงยื่นแก้วกาแฟให้เขาเตรียมพร้อมจะลิ้มรสความอร่อย...ชายหนุ่มรับแก้วกาแฟมาถือไว้อย่างว่าง่าย จากนั้นจึงยกมือข้างที่เหลือชี้พร้อมเอ่ยกับหญิงสาวว่า "คุณดูสิ หมอกยามเช้า โน่น!! ...เห็นมั้ยครับ มองไปไกลๆนะ อากาศที่หนาวพอสบาย กาแฟอุ่นๆในมือ แล้วที่สำคัญที่สุด คือคุณ ผู้หญิงที่ผมรัก" เขายกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อ "ผมมีความสุขที่สุด...นี่แหละคือความสุขของผม"...หญิงสาวค่อยๆเอื้อมมือมาแตะที่บ่าข้างหนึ่งของเขา ลูบเบาๆ "อะไรก็ตามที่เป็นความสุขของคุณ รินก็พร้อมและเต็มใจที่จะสุขไปด้วยค่ะ"

ความรักของคู่หนุ่มสาว จะคงความแข็งแรงแค่ไหน ล้วนมีเหตุและปัจจัยมากมาย ความรัก ความเข้าใจ และความซื่อสัตย์ที่มีให้แก่กัน ยังคงเป็นกุญแจดอกสำคัญเสมอที่สามารถจะ เปิดประตูหัวใจเข้าไปอาศัยจับจองซึ่งกันและกัน และในโอกาสที่สำคัญโอกาสหนึ่งในฤดูหนาว มันน่าจะมีสักครั้งหรือไม่ ที่จะไปเติมความสุขกับสถานที่สักแห่งหนึ่งให้กันและกัน...ถ้าที่แห่งนั้นมีทั้ง "สายหมอก ลมหนาว แล้วก็ สาวคนรัก"...คงจะมีความสุขไม่น้อย...ว่ามั้ย!!!

บทความจาก :
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story










วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หนีนรก!...กันเถอะ ด้วยการเป็น "พระโสดาบัน"

คงเคยได้ยินกันมาบ้างทั้งที่ตั้งใจจะได้ยิน และการได้ยินในแบบผ่านๆ มีคนจำนวนมากมายที่ยังคงสับสนระหว่างคำว่า "โสดาบัน" กับ "อรหันต์" แม้แต่ผู้เขียนเองในเมื่อครั้งหนึ่งก็ยังเคย แต่จากการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการอ่าน การฟัง ก็เลยทำให้เข้าใจและสามารถแยกแยะออกถึงระดับความเป็น "อริยบุคคล" ได้...คำว่า อริยบุคคล แปลว่า บุคคลผู้ประเสริฐ หรือเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ นั่นหมายความว่าบุคคลผู้ใดที่ก้าวเข้าถึง ความเป็น อริยะ คือบุคคลนั้นนับจากนี้เป็นต้นไปจะไม่มีวันที่จะตกนรกอีกแล้ว

คน...เกิดมาเพราะบุญเก่าเกื้อหนุนจึงสามารถเกิดเป็นคนได้ และเมื่อมีโอกาสที่ดีเช่นนี้แล้วจึงควรเร่งสร้างบารมีต่อไปเพื่อก้าวให้หลุดพ้นจากการที่ต้อง เวียน ว่าย ตาย เกิด ไม่รู้จักจบจักสิ้น สำหรับการที่จะหยุดภพชาติให้ได้นั้น คนเราทุกคนต้องกระทำให้จิตของตน ๆ นั้น หยั่งถึงความเป็นอริยบุคคลเสียก่อน ดังนั้นผู้เขียนจึงขอสรุประดับขั้นของความเป็นอริยบุคคลเพื่อให้ผู้อ่านได้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น แล้วไปต่อยอดความอยากรู้ด้วยการค้นคว้าหารายละเอียดเพิ่มเติมในภายหลัง

อริยบุคคล แบ่งตามประเภทบุคคล ได้ทั้งหมด 4 ประเภท

1.อริยบุคคลระดับต้น เรียกว่า "พระโสดาบัน"
2.อริยบุคคลระดับที่ 2 เรียกว่า "พระสกิทาคามี"
3.อริยบุคคลระดับที่ 3 เรียกว่า "พระอนาคามี"
4.อริยบุคคลระดับสูงสุด เรียกว่า "พระอรหันต์"

สำหรับบทความนี้ ผู้เขียนต้องการเชิญชวนผู้ที่สนใจการหนีนรกด้วยการก้าวไปให้ถึงการเป็น "พระโสดาบัน" ซึ่งเป็น อริยบุคคลระดับต้น คงน่าจะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับ ฆราวาส เช่นเราๆทั้งหลาย ดังนั้นเราจึงควรมารู้จักกันเสียก่อนว่า รูปร่างหน้าตา หรือ การประพฤติปฏิบัติเพื่อก้าวไปให้ถึง พระโสดาบันต้องทำอย่างไรบ้าง







พระโสดาบันมีปัญญาเพียงเล็กน้อย ระลึกรู้แค่ว่าวันหนึ่งจะต้องตายเท่านั้น ยังไม่สามารถจะจำแนกแยกร่างกาย ว่าไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เพราะพระโสดาบันยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา แต่ทว่ามีความรู้สึกที่ว่าสิ่งทั้งหลายที่เป็นเรา เป็นของเรานี้ เมื่อตายแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาครอบครอง หรือว่า แม้ยังไม่ตาย สักวันหนึ่งข้างหน้ามันก็ต้องสลายตัวไปอยู่ดี

พระโสดาบัน ไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น ศีล ทั้ง 5 ข้อ พระโสดาบันจะไม่กระทำการใดอันละเมิดต่อศีลทั้ง 5 ข้อนี้เด็ดขาด แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต และพระโสดาบันยังมีความเคารพและเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยอย่างหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง 

บุคคลใคที่พึงจะก้าวเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ตามที่ผู้เขียนได้ค้นคว้าและจดจำจากคำสอนของพระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ได้ความว่า จะต้องทรงพรหมวิหาร 4 ให้ได้เป็นปกติ เมื่อจิตทรงอยู่ใน พรหมวิหาร 4 อย่างเป็นปกติแล้ว ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ศีลนั้นบริสุทธิ์ไปด้วย เพราะการเจริญพรหมวิหาร 4 ทำให้ระงับโทสะ และพยาบาท ทำให้โทสะ และพยาบาท คลายตัว นอกจากนี้ก็ยังทำให้เป็นคนใจดี พอใจในการให้ทาน แล้วก็ทานตัวนี้แหละที่จะเป็นปัจจัยในการตัดโลภะ คือ ความโลภ เพื่อให้จิตใจของท่านที่กำลังจะก้าวถึง หรือถึงแล้วซึ่งความเป็น พระโสดาบัน มีอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีคววามโลภในการปรารถนาที่จะไปยื้อแย่งเขา พอใจในการหาทรัพย์ได้ด้วยสัมมาอาชีวะ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ผู้เขียนขอสรุปสั้นๆ เพื่อเป็นการปิดท้ายของบทความนี้ว่า...ความสำคัญของบุคคลใดๆที่ปรารถนาจะหนีนรกให้ได้เป็นการถาวร สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ที่การรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ ให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ขาดทะลุเป็นรูโหว่ เพราะความสำคัญของพระโสดาบัน คือ ศีลต้องมั่น ในแบบที่ว่า...ยอมตาย ดีกว่าศีลขาด...นั่นแล !!!!...สวัสดี...

บทความจาก :


วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"ผีมีจริง" หรือเปล่า?...คำถามโลกแตกที่มีมาช้านาน (ตอนที่ 1) !!!

เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามแบบนี้ขึ้นในใจกันบ้างล่ะ...จริงอ่ะป่าว!!!...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน จะเป็นสิบ เป็นร้อย หรือเป็นพันปี เรื่องวุ่นๆของคนเราก็คงไม่พ้นเรื่องผีๆ เป็นแน่...บรื๋อ!!!!...จากที่เคยได้ยินกันมาบ้าง คนในสมัยก่อน จะนานแค่ไหนก็ไม่อาจคาดเดาได้ เขามักเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ เจ้าป่าเจ้าเขา สิ่งเร้นลับ ในเรื่องของโลกวิญญาณ...อะจึ๋ย...อ่านมาถึงตรงนี้ ในใจแอบระแวงข้างหลังกันบ้างมั้ยน๊า...อิอิ ถ้ากำลังอ่าน แล้วบังเอิญเกิดมีเสียงอะไรตกดังโครม คงมีสะดุ้งกันบ้าง!!!...หรือถึงกับวูบไปชั่วขณะเลยล่ะมั้ง...เพราะอะไรเล่า ในใจลึกๆของความเป็นคน เราจะกลัวกับสิ่งที่คนมองไม่เห็น เมื่อมองไม่เห็น จิตของเราก็จะเป็นตัวสั่งการให้สมอง คิดโน่นคิดนี่ สร้างมโนภาพไปต่างๆนานา ก็แล้วแต่จินตนาการของใครๆที่จะพิสดารน่าประหวั่นพรั่นพรึงกว่ากัน


ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ คือ ลองมองไปรอบๆตัว ค่อยๆมอง ค่อยๆ...ไม่ได้ให้มองหาผี...ปัดโธ่!!! คือ มองหาว่ามีใครอยู่ใกล้ๆบ้าง ถ้าบังเอิญมี เขยิบเข้าไปใกล้ๆเขาเลย ค่อยๆนะ ค่อยๆถามเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ถ้าให้ดีควรจะทำเสียงสั่น หรือ เสียงกระเส่าสักเล็กน้อย ด้วยคำถามที่ว่า "ผีมีจริงมั้ยว่ะ" พอคนโดนถามเขาหันมาสบตา เราก็มองที่ตาเขา สลับกับการมองไปรอบๆอย่างช้าๆเพื่อบิ้วอารมณ์ให้เข้ากับบรรยากาศแบบผีๆ....รับรอง ถ้าสิ่งแวดล้อมรอบตัวค่อนข้างเงียบและเป็นใจพอสมควร ต้องมีขนลุกบ้างเชื่อเถอะ คริคริ...เมื่อถามหนึ่งคนได้ ก็ต้องถาม สอง สาม สี่....ได้เหมือนกัน เชื่อม่ะ จะได้คำตอบที่หลากหลาย...ไอ้คนที่กลัวผีอ่ะนะมักจะปากเก่งในที่สาธารณะเมื่อมีคนหมู่มาก แล้วจะพูดว่า "ผีไม่มีจริงหรอกฟร่ะ" เขาเอาไว้หลอกเด็ก แต่ขอโทษนะ เวลามันอยู่คนเดียว ถึงกับหงอย...ขนลุกประจำ เหมือนคนปวดท้องจะคลอดกากอาหารที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วออกมา...555 เรากลับมาที่คำตอบ...แน่นอนว่าคำตอบที่ได้จะมีทั้งเชื่อ และไม่เชื่อว่า ผีมีอยู่จริง...แต่จากประสบการณ์ของผู้เขียนขอเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในฝั่งของผู้ที่ตอบว่า "ผีมีจริงว่ะ" ...
นานมาแล้วเหมือนกัน คงประมาณ 20 ปีล่วงมาเห็นจะได้ ตอนเช้ามืดในคืนวันหนึ่งประมาณสัก ตี 4 ได้มั้งตอนนั้นรู้สึกตัวเหมือนมีใครสักคนมานอนอยู่ข้างหลังเนื่องจากตอนนั้นผมนอนตะแคงขวาอยู่...เฮ้ย ใครมานอนอยู่ข้างหลัง แถมหายใจรดต้นคอเราอีก (ตอนนั้นนึกในใจ) แต่สมองก็ค่อยๆเริ่มทบทวน แล้วมันจะมีใครได้ยังไงว่ะ นี่มันห้องนอนตรูเอง ปกติก็นอนคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ทันที่ความคิดต่างๆจะจางหายไป เสียงลมหายใจเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ฟื๊ด ๆ ๆ...เอาล่ะซิ ตอนนั้นยอมรับเลยครับว่า ไม่กล้าลืมตาแล้วหันกลับไปมองว่าสิ่งที่เรารู้สึกได้ มันเป็นอะไรกันแน่ ถ้าเป็นคุณผู้อ่าน จะทำยังไง?...ในเมื่อผมทำอะไรที่มากกว่านั้นไม่ได้จึงพยายามข่มตาให้หลับ ในใจก็คิดว่า ไอ้เจ้าสิ่งนั้นจะเรียกมันว่าอะไรก็ตามหอะ คงจะทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้กระมัง ถ้ามันทำได้ คงทำไปนานแล้ว จึงรวบรวมสติทั้งหมด หลับต่อไป...หลังจากผ่านคืนที่สยองที่สุดในชีวิตก็เก็บเอาไปเล่าให้คุณป้าท่านหนึ่งฟัง คำตอบที่ได้...ผมเจอเข้ากับ "ผีตายโหง!!" เท่านั้นล่ะ ขนลุกไปทั้งตัวตั้งแต่ปลายเท้าจรดหนังศีรษะ...หลังจากครั้งนั้นก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้อีกเลย จนกระทั่งเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ในตลอดระยะเวลา 2-3 เดือน ไม่คืนวันโกน ก็คืนวันพระ จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างกับผม หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า "ผีอำ" มีใครเคยโดนมั้ย แบบที่ว่า ขนลุกไปทั้งตัว ครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนใครมาทับร่าง อึดอัด หายใจไม่ออก กระดุกกระดิกตัวไม่ได้....ในทางวิทยาศาสตร์เขาก็บอกทำนองว่า จิตมันตื่น แต่ร่างกายเรามันยังไม่ตื่น ก็ว่ากันไป... แต่สำหรับตัวผม อย่างที่บอก ทุกคืนวันโกน หรือไม่ก็คืนวันพระผมจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แล้วทำไมจะต้องเจาะจงกับ 2 วันนี้ล่ะ ทำไมวันอื่นไม่เป็น ก็เลยมานั่งคิด ที่โบราณเขาว่าเอาไว้ จะมีปล่อยผีกันวันโกน วันพระ...บรื๋อออ!!!!...ต้องใช่แน่ๆ...ช่วงก่อนที่ตัวผมจะพบกับเหตุการณ์ประหลาดนี้ ผมไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิเป็นประจำ ครั้งล่ะนานๆ แล้วก็ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะ จิตแทบไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น มันจะทรงในอารมณ์ธรรม ซะเป็นส่วนใหญ่ คิด คิด คิด อยู่นั่นว่าอยากจะอ่านธรรมะเรื่องอะไร แล้วก็ไปค้นคว้ามานั่งอ่าน มาฟัง...อ่านมาถึงตรงนี้ งงมั้ย? แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับผี...ถ้าถามผม ผมต้องตอบว่าเกี่ยว ต้องเกี่ยวแน่ๆแบบไม่ต้องสงสัย เพราะผมเจอมากับตัวเอง ในตอนนั้นสิ่งที่ผมทำ ทาน ศีล ภาวนา มาครบ และก็ทำได้เป็นอย่างดีพอสมควร จิตมันทรงอยู่ในอารมณ์ด้านบวก พูดง่ายๆแบบนี้ล่ะนะ แล้วแสงแห่งบุญที่ทำ จะเปล่งประกายออกมา เมื่อถึงวันโกน วันพระ ผีต่างๆเหล่านี้แหละ เขาเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือ เขาจะรู้ เพราะแสงบุญเป็นทิพย์ แล้วผีต่างๆก็อยู่ในโลกทิพย์ ก็เลยเห็นกัน แน่นอนเขาต้องมาหาคนที่เขาคิดว่าจะช่วยเขาได้ ซึ่งในตอนนั้นก็เป็นผมนั่นเอง...ในครั้งแรกๆก็รู้สึกกลัวนะครับ ผมจำได้แม่น ในช่วงก่อนที่เขาจะอำ(ผีต้องการติดต่อกับเราอ่ะ...ผมคิดเอาเองนะ) แต่เนื่องจากว่าเขาไม่ใช่คน อยู่ดีๆจะเดินมาขอนั่นขอนี่ คงเป็นไปไม่ได้ แล้วการที่เขาต้องการจะติดต่อเราล่ะ จะทำไง ข้อนี้ผมก็ไม่รู้หรอก เพราะผมไม่ใช่ผี แต่ก็เดาๆเอาจากประสบการณ์ นั่นคือ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะตอนนั้น สติเราไม่ครบ 100% ผีทั้งหลายจึงแฝงมาสื่อสารกับคนได้...เหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนกับที่ผมเล่าที่ตอนนอนมีคนมาหายใจรดต้นคอ แต่คราวนี้ มาแบบเห็นๆ แต่มันเห็นทางจิต เพราะไม่ได้ลืมตา...ในตอนนั้นจิตมันตื่นขึ้นเพราะรู้สึกว่ามีใครสักคนจ้องมาที่เราโดยการเดินเข้ามาหาแล้วก็วน ในจังหวะหนึ่งนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไร ขนของผมก็ลุกไปทั้งตัวแล้วก็ขยับร่างกายอะไรไม่ได้...แน่นอน ผมอายุปูนนี้แล้ว คิดออก...กูโดนเข้าแล้ว!!!!...ผีอำแน่ๆ...ไม่คิดอะไรมาก ว่าคาถาชินบัญชรใส่เลยงั้น...แปบเดียวผีโดดหนีทะลุกำแพงไปเลย...พอตอนเช้าก็มานั่งคิด แล้วอยู่ดีๆก็นึกได้ว่า ทำไมเราถึงไปสวดคาถาเพื่อไล่เขาล่ะ สมองคิดไปเรื่อยเลยนะ ผีพวกนี้คงเดือดร้อนเขาคงไม่มาร้ายมั้ง...สมองมันคิดไม่หยุด...เอาไว้ต่อภาค 2 ดีก่า เดี๋ยวมันจะยาวไปนะ อิอิ...






















นำเสนอโดย :

การเตรียม Outlook 2013 สำหรับการ รับ-ส่ง email

สำหรับ Outlook ที่นำมาแสดงเป็นตัวอย่างในที่นี้นั้นอยู่ในโปรแกรม Microsolf Office 2013 ซึ่งการเตรียม Outlook เพื่อใช้ในการ รับ-ส่ง email ได้นั้นจะต้องมีค่าต่างๆที่เราเองจะต้องกำหนด และการแสดงตัวอย่างที่คุณ User ทั้งหลายจะได้เห็นต่อไปนี้คือ ค่ากำหนดที่จำเป็นจะต้องใช้ เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อยืดยาด เราเริ่มกันเลยดีกว่า...
อันดับแรกเมื่อเปิดโปรแกรม Outlook ขึ้นมา ก็ให้คลิกที่ Add Account ตามรูปที่ 1

รูปที่ 1



















เมื่อหน้าต่างดังรูปที่ 2 ปรากฏขึ้น ก็ให้ User ป้อนค่าที่จำเป็นเข้าไป ดังเช่น :
Your Name : ให้ใส่ชื่อของ User ที่ต้องการเข้าไป ใครชื่ออะไรก็ใส่ได้ตามสะดวก
E-mail Address : ใส่ชื่อ email ของ User เอง เช่น abcdef@lovelygirl.com (ชื่อโดเมนของบริษัท)
Password : ใส่ Password ที่เหมือนกัน 2 ครั้ง
จากนั้น ติ๊ก ตรงคำว่า Manual setup or additional server types จากนั้น คลิก Next

รูปที่ 2


















หลังจากคลิก Next จะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 3 ให้ติ๊ก ตรง POP or IMAP email account

รูปที่ 3


















เมื่อคลิก Next ดังตัวอย่างดังรูปที่ 3 จะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 4 สำหรับการเติมค่าที่กำหนดให้เติมทุกค่าเหมือนกันกับในรูปที่ 2 หลังจากที่กำหนดค่าเรียบร้อยแล้วให้คลิกคำว่า More Setting...

รูปที่ 4


















จะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 5 รูปที่ 6 รูปที่ 7 ตามลำดับ

รูปที่ 5

























รูปที่ 6

























รูปที่ 7

























แต่เนื่องจากในขั้นตอนจากรูปที่ 4 เรามีการเลือก Account Type แบบ IMAP port ที่ใช้จึงเป็น 143 ดังตัวอย่าง แต่ถ้าเลือก Account Type แบบ POP3 port ที่ใช้จึงเป็น 110 สำหรับ Incoming server...
ในส่วน Outgoing server (SMTP) ในที่นี้เลือกใช้ port 465 แบบ ssl เพื่อแสดงเป็นตัวอย่าง สำหรับตัวเลขของ port Outgoing server อาจปรับเปลี่ยนไปได้แล้วแต่ทาง IT ที่จะเป็นผู้กำหนดให้ใช้ port หมายเลขเท่าใด เมื่อกำหนดค่าได้ตามต้องการจึงคลิก ok...แล้วจะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 8

รูปที่ 8


















คลิก Next ถ้าผลจากการที่ User กำหนดค่าได้อย่างถูกต้องก็จะได้ผลลัพธ์ดังรูปที่ 9

รูปที่ 9














แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ การเตรียม Outlook สำหรับการใช้ รับ-ส่ง email แล้ว...

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

"ฤดูหนาว" กับปัญหาของ "ผิวพรรณ"

เมื่อถึงหน้าหนาว ความชื้นในอากาศจะลดลง ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวของเราได้ง่ายขึ้น หลายคนจึงมีปัญหาผิวแห้งเป็นผื่นคัน ปากแตก ส้นเท้าแตก รังแครังควาน เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้เป็นแค่อาการทางร่างกาย เป็นแล้วทำให้เกิดความรำคาญ ไม่ได้เป็นโรคติดต่ออะไรร้ายแรง คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะไม่ค่อยไปหาหมอ แต่มักจะไปหาซื้อครีมหรือยามาใช้เองมากกว่า
จริงอยู่อาการพวกนี้ บางทีการซื้อครีมหรือยาจากร้านขายยามาทาเองนั้น บางครั้งก็อาจจะทำให้อาการหายไปได้เหมือนกัน แต่ในบางราย บางทีใช้ยา ไปตั้งเยอะแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น แถมดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงด้วยซ้ำ...สำหรับบทความนี้เราจะมาโฟกัสกันที่ว่า..."ทำไมปากถึงแห้ง" ยิ่งขึ้นในฤดูหนาว

...สาเหตุที่ริมฝีปากแห้ง หรือแตกง่ายกว่าบริเวณอื่น เนื่องจากบริเวณริฝีปากไม่มีต่อมไขมัน เพื่อเคลือบป้องกันผิวไม่ให้น้ำระเหยออกไปเหมือนส่วนอื่นของผิวหนัง และเป็นส่วนที่ต้องสัมผัสกับอาหารหรือเครื่องดื่ม รวมทั้งสารเคมีต่างๆ โดยปกติแล้วแม้ว่าจะไม่ใช่ในฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น ผนวกกับความชื้นในอากาศที่ลดลงกว่าปกติ ปากก็แห้งก็แตกง่ายอยู่แล้ว ซึ่งมันมีสาเหตุที่ผู้เขียนหารวบรวมมารับใช้คุรผู้อ่านเป็นข้อๆดังนี้...
  1. ดื่มน้ำน้อยเกินไป ถ้าคุณดื่มน้ำน้อยผิวทั่วร่างกายรวมทั้งริมฝีปากก็จะแห้ง เพราะขาดน้ำ 
  2. การเลียริมฝีปากบ่อยๆ ในช่วงแรกอาจรู้สึกว่าริมฝีปากชุ่มชื่น แต่สักพักริมฝีปากจะแห้ง เนื่องจากน้ำระเหยไปและเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารในน้ำลายจะทำให้ริม ฝีปากแห้งมากขึ้น 
  3. แสงแดดและรังสี การถูกแสงแดดเป็นเวลานานต่อเนื่องกัน ทำให้ริมฝีปากสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต(UV) หรือการฉายรังสีจากการรักษา ซึ่งเป็นตัวทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดรอยเหี่ยวย่น 
  4. สภาพอากาศ อากาศร้อนและมีลมแรง กับ อากาศเย็นและแห้ง มีผลทำให้ริมฝีปากแห้งหรือแตกเป็นขุยมากขึ้น 
  5. แพ้สารบางอย่าง เป็นไปได้ว่าสารบางอย่างในลิปสติกหรือเครื่องสำอาง เช่นสารประกอบที่ทำให้เกิดปัญหาที่สุดคือ สี กลิ่น น้ำหอม ลาโนลิน (สารที่ให้ความชุมชื้น) และสารกันบูด ทำให้คุณเกิดอาการแพ้ 
  6. การขาดวิตามิน คนที่ขาดวิตามินบี ริมฝีปากจะแตกง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะวิตามินบีมีความสำคัญต่อผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ 
  7. อาการร้อนใน เนื่องจากอาการร้อนในจะทำให้น้ำในร่างกานสูญเสียมากขึ้นรวมทั้งริมฝีปากด้วย 
สำหรับวิธีป้องกัน เพียงแต่ตัวเราเองต้องดื่มน้ำให้ได้ประมาณ 8 แก้วต่อวัน ห้ามเลียริมฝีปาก สถานที่ใดที่มีแสงแดดจัดถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงซะ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด ถ้าจะให้ดีควรหาน้ำตะไคร้มาดื่มบ้าง เนื่องจากมีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีการ Import Calendar จาก Outlook มาสู่ Zimbra Web Mail

แก๊ง ๆ!!!...เสียงคนแก้วกาแฟที่คุ้นหู สายตาก็จับจ้องมองมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แน่นอนครับ มนุษย์เงินเดือน คนทำงาน หรือเจ้าของธุระกิจ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องยุ่งต้องเกี่ยวกับการใช้ e-mail ในการรับส่งข่าวสาร ทั้งในเรื่องของธุระกิจเอง หรือเรื่องส่วนตัว...สำหรับบทความในตอนนี้จะมาพูดถึงวิธีการย้ายข้อมูลที่เรียกว่า ปฏิทิน หรือ "Calendar" จากเดิมที่ผู้ใช้ e-mail ผ่านโปรแกรม Outlook ต้องการเปลี่ยนมาใช้ Zimbra Web Mail ...สำหรับขั้นตอนก็ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนให้ปวดกบาลมากมายนัก...ตามผมมาเลยคาฟฟฟฟ.....

ขั้นตอนที่ 1 : เมื่อเรา Set Calendar ใน Outlook เรียบร้อยแล้ว เราก็ทำการ save ดังรูปที่ 1 และ 2
ขั้นตอนที่ 2 : เปิด Zimbra Web Mail ขึ้นมา แล้วปฏิบัติตามรูปที่ 3     
ขั้นตอนที่ 3 : คลิกเลือก File ที่ต้องการ Import จากนั้น คลิกคำว่า Import ดังรูปที่ 4
ขั้นตอนที่ 4 : เข้าไปเปิดที่เมนู Calendar ก็จะได้เห็นผลลัพธ์ตามต้องการ ดังรูปที่ 5
ขอขอบคุณรูปภาพที่นำมาประกอบคำอธิบายทั้งหมดจาก http://www.zimphony.com

รูปที่ 1

รูปที่ 2

   

รูปที่ 3












































รูปที่ 4










รูปที่ 5



วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เมื่อศรัทธาติดลมบน (อีกครั้ง) สำหรับฟุตบอล "ทีมชาติไทย"

ใครที่มีโอกาสได้ดูการถ่ายทอดสดเป็นระยะๆของบรรดาโทรทัศน์ช่องต่างๆ คงจะได้เห็นถึงบรรยากาศที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขตลอดเวลานับตั้งแต่ทีมฟุตบอลชาติไทย ชุดแชมป์ AFF SUZUKI CUP 2014 ก้าวเท้าเหยียบลงบนผืนแผ่นดินแม่อีกครั้ง ณ.ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557...รถบัสเปิดประทุนก็ได้นำบรรดาเหล่าฮีโร่ทั้งหลายเคลื่อนขบวนผ่านถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อมุ่งหน้าไปสิ้นสุดที่ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ ตลอดเส้นทางที่ขบวนวีระบุรุษนักฟุตบอลผ่านไปจะมีประชาชนที่เป็นแฟนฟุตบอลทั้งขาประจำ และขาจร ซึ่งกลัวตกกระแสยืนรอโบกไม้โบกมือให้การต้อนรับอยู่เป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของทีมชาติไทย...แล้วอะไรเล่าที่เป็นตัวจุดประกายแห่งศรัทธาในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่รูปแบบการเล่นอย่างมีสไตล์รวมไปถึงการเก็บอารมณ์ได้อย่างดีเลิศแม้ว่านักเตะแต่ละคนจะโดนคู่ต่อสู้เตะติดดาบใส่ตลอดเวลาเลยก็ตาม...การที่ประเทศไทยต้องรอคอยแชมป์รายการนี้มาถึง 12 ปีเต็ม มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์พิเศษนี้ก็เป็นไปได้ แต่ถ้าใครได้ติดตามทีมฟุตบอลชุดนี้ซึ่งอยู่ภายใต้ผู้ฝึกสอนที่ชื่อ "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" ตั้งแต่ซีเกมส์เมื่อปลายปี 2556 ซึ่งเราได้เหรียญทองที่พม่า ต่อมาเราได้อันดับที่ 4 ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่เกาหลีใต้ ความหวังลึกๆของแฟนบอลพันธุ์แท้ได้เจิดจ้าเป็นประกายอยู่ภายในใจมาเป็นลำดับ จนมาระเบิดเป็นดาวกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า เมื่อทีมฟุตบอลชุดนี้ได้คว้าตำแหน่งแชมป์แห่งภูมิภาคอาเซี่ยนมาครองได้สำเร็จ...แท้ที่จริงแล้วนั้นมีเหตุผลใหญ่ๆแค่ 2 ประการ คือ 1.รูปแบบการเล่นเป็นทีมที่ทันสมัย ความฟิต และหัวใจนักสู้ ส่วนประการที่ 2 ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย ว่านักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดนี้ล้วนแต่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี โดยเฉพาะ นักเตะหมายเลข 7ที่ชื่อ "ชาริล ชัปปุยส์" หนุ่มน้อยลูกครึ่ง สวิต-ไทย ผู้ซึ่งครั้งหนึ่ง เคยร่วมทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ รุ่น U17 คว้าแชมป์โลกมาแล้ว ก่อนที่เขาจะตัดสินใจมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติไทยในปัจจุบัน...ด้วยเหตุ 2 ประการนี้แหละที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลังศรัทธาที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ พลังแห่งความสุขที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เกิดเป็นกระแสฟุตบอลฟีเวอร์ขึ้นในฉับพลันทันใด...หากมองย้อนกลับไปวิเคราะห์หาเหตุผลว่าอะไรกันที่ทำให้ทีมฟุตบอลชุดนี้ประสพความสำเร็จ ได้ทั้งกล่อง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งหัวใจของแฟนฟุตบอลทั้งประเทศ...คงไล่มาตั้งแต่ระบบ "ลีก" ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเอเซีย หรือแม้แต่ในยุโรป อเมริกาใต้ และ แอฟริกา จะเห็นได้จากการที่มีนักฟุตบอลฝีเท้าดีจากต่างชาติหลั่งไหลกันมากอบโกยเงินบาทจากบรรดาเหล่าสโมสรทั้งหลาย ซึ่งจากจุดนี้เองทำให้นักเตะสายเลือดไทยได้ร่วมปะทะเพลงเตะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชั้นเชิงฝีเท้าจากผู้เล่นต่างชาติ...หลายๆคนมีทักษะในเชิงฟุตบอลที่สูงกว่าจนทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของตัวนักเตะไทยเองขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงบางสโมสรชั้นนำของประเทศไทย เช่น บุรีรัมย์ยูไนเต็ด หรือ เมืองทองยูไนเต็ด ก็ได้มีโอกาสได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลในรายการระดับท็อปของทวีปเอเซียร่วมกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อิหร่าน และ ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น สำหรับในด้านผู้ฝึกสอน หรือที่เราเรียกกันง่ายๆว่า "โค้ช" ทีมชาติไทยก็เคยใช้บริการโค้ชฝีมือดีมาหลายต่อหลายคน ยกตัวอย่าง คาร์ลอส โรแบร์โต คาวัลโญ่ , ปีเตอร์ วิธ , ไบรอัน ร็อบสัน , ปีเตอร์ รีด , วินฟรีด เชเฟอร์ แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนฟุตบอลสักเท่าไร เนื่องมาจากยังไม่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในระดับเอเซีย จนมาถึงโค้ชคนปัจจุบัน ซิโก้ "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในยุคดรีมทีม...เรียกได้ว่าบนผืนแผ่นดินไทยไม่มีใครที่ไม่รู้จักซิโก้ ตอนที่เป็นนักเตะสร้างชื่อเสียงเอาไว้มากมาย ทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาค แต่การที่ซิโก้ได้มารับหน้าที่เป็นกุนซือของทีมชาติไทยชุดใหญ่ มันเป็นการท้าทายความสามารถของเขาอย่างมากท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ามือไม่ถึงบ้าง ยังละอ่อนไปบ้าง แต่ด้วยความที่ซิโก้เป็นนักฟุตบอลของแท้ และรู้ถึงซึ่งธรรมชาติของนักฟุตบอลไทย เขาได้เอาความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ของตัวเอง มารวมหล่อหลอมใส่ลงไปในนักเตะชุดความหวังใหม่ของคนไทยทั้งชาติ เริ่มตั้งแต่การเล่นฟุตบอลภาคพื้นดินที่สวยงาม ความเป็นสุภาพบุรุษทั้งในและนอกสนาม จนประจักษ์ไปทั่วทั้งดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ คำถามคือว่า ซิโก้มีความเก่งกาจกว่าเหล่ากุนซือที่ผ่านๆมาของทีมชาติไทยหรือ?...คำตอบ คือ ไม่ใช่ แต่สิ่งเดียวที่ซิโก้มีมากกว่า คือรู้ว่าด้วยสรีระแบบไทยๆ ควรจะเล่นฟุตบอลแบบไหน ที่สุดก็เจอเข้าจนได้ นั่นคือการเล่นบอลกับพื้น อาศัยการต่อบอลตามช่อง วันทัช ทูทัช การเคลื่อนที่ของนักเตะ และสปีดบอล...หลายๆชาติในอาเซี่ยนถึงกับอึ้งกิมกี่ เมื่อเห็นรูปแบบการเล่นที่ทันสมัยของนักเตะไทยชุดนี้ บวกกับความฟิตอันยอดเยี่ยม มันสวยงาม เพลิดเพลิน จนบางคนเปรียบเปรยไปว่า นึกว่านั่งดูบาเซโลน่า ความสำเร็จในวันนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นให้ฟุตบอลทีมชาติไทยได้มีโอกาสไต่บันไดให้สูงขึ้น นั่นหมายถึงเป้าหมายต่อไป คือ ระดับเอเซีย ก่อนที่จะไปถึงระดับสูงสุด คือ ฟุตบอลโลก...ต้นกร้าทีมนี้รอวันเติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงต่อไปในภายภาคหน้า สมาคมฟุตบอล สโมสรฟุตบอล แฟนฟุตบอล ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ถ้าหากร่วมมือร่วมใจกัน เดินไปในแนวทางเดียวกัน ซิโก้จะทำงานง่ายขึ้น นั่นหมายความว่า เป้าหมายแห่งความสำเร็จที่สูงขึ้นไปอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม...เราอาจไม่ต้องรอถึงชาติหน้าก็ได้ สำหรับทีมชาติไทยที่จะได้ไปบอลโลก...เวลา และความมุ่งมั่นของซิโก้และทีมงาน จะให้คำตอบกับแฟนฟุตบอลทั้งประเทศ...เมื่อพลังแห่งศรัทธาครั้งใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว จะทำอะไร ก็รีบทำนะ...โก้



นำเสนอโดย :

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แรงบันดาลใจ...ที่ใครๆ !!!...ก็ควรมี

แรงบันดาลใจ :

มีใครบ้างไหม...?ที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลย นับตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ คำตอบคือ...คงไม่มี!!! สำหรับคน ๆ หนึ่งความผิดพลาดเขาดูกันจากอะไรหรือ  สำหรับผู้เขียนขอสรุปเป็นคำตอบรวมๆเอาไว้ว่า มันคือ "ความผิดหวัง" ซึ่งมีสาเหตุมาจากความคาดหวังในบางสิ่งบางอย่างนั่นเอง เมื่อมีความผิดหวังเกิดขึ้น คนเราก็มักจะมองไปที่ ความผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งมีความคาดหวังว่าทีมของตันเองจะสามารถขึ้นเป็นแชมป์ได้ แต่เมื่อผลปรากฏในท้ายสุด เป็นได้แค่รองแชมป์ ความผิดหวังย่อมเกิดขึ้นแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วสิ่งที่ตามว่า ก็คือ ความผิดหวัง