จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

สมาธิ...สำคัญไฉน!...ที่นี่มีคำตอบ...!!!

          ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ครั้งนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2525  ประมาณต้นเดือนเมษายน ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ร่วมเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ด้วยการเข้าโครงการบรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ตอนนั้นมีอายุเพียง 12 ขวบ ถ้าจำไม่ผิดจะมียุวชนจากโรงเรียนต่างๆเข้าร่วมโครงการนี้ประมาณ 97 คน...ถึงแม้จะผ่านล่วงเลยมาถึง 30 ปีแล้วก็ตาม แต่ความทรงจำบางส่วนก็ยังคงติดตรึงอยู่ภายในใจ ไม่เคยลบเลือนหายไปไหน หลายสิ่งหลายอย่างที่พระอาจารย์ทั้งหลายท่านได้สอนสั่ง ผู้เขียนก็รู้มั่งไม่รู้มั่ง เพราะความที่เป็นเด็ก กลางวันก็เรียนหนังสือ โดยเน้นหนักที่ "พุทธประวัติ" ...สลับกับการปฏิบัติโดยการเดินจงกลมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง...การนั่งสมาธิในตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้น เพราะต้องนั่งอยู่ต่อหน้าโครงกระดูก พระอาจารย์ก็พูดสอนวิธีการของท่านไป ผู้เขียนและสามเณรอื่นๆก็ปฏิบัติตามเป็นแบบนี้ทุกวัน อาจมีสลับสับเปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นการฝึกท่อง "ศาสนสุภาษิต" บ้างก็มี...เขามีสอบท่องด้วยนะ ให้ท่องตั้งแต่ ข้อที่1 ถึง 50 ต้องเรียงลำดับให้ถูก ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่ผ่าน...ตลอด 30 ปีเศษ ผู้เขียนรู้จักการนั่งสมาธิ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ความหมายของการนั่งสมาธิ...เขาทำกันไปเพื่ออะไร?...สำหรับในบทความนี้ ตัวผู้เขียนมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานที่สุด ด้วยการเทศน์ธรรมะต่างๆขององค์หลวงพ่อรู้สึกถูกตาต้องใจของผู้เขียนเป็นอันมาก ทั้งหนังสือ ทั้งซีดี ก็เลยฟังแต่ขององค์หลวงพ่อท่าน 70-80% ก็ว่าได้...ดังนั้นในบทความนี้จึงได้อัญเชิญพระธรรมเทศนาบางส่วนที่องค์หลวงพ่อท่านได้พูดไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งผู้เขียนจะบอกที่มาไว้ในตอนท้าย นำมาเสนอให้ผู้ที่สนใจใคร่รู้ได้อ่านกัน...ดังนี้...!!!

http://dharmaishere.blogspot.com


อย่างที่เราทำความดี คำว่า "สมาธิ" นี่ ก็สมาธิทั้งหมดนั่นแหละ คนตั้งใจไปใส่บาตรพระ เริ่มตั้งใจก็เป็นสมาธิใน "จาคานุสสติ"...เพราะ "สมาธิ แปลว่า ตั้งใจ"...เวลาใส่บาตรพระอยู่ ก็เป็นสมาธิในทานการบริจาคใช่ไหม ตั้งใจรักษาศีล ก็มีสมาธิใน "สีลานุสสติ"...ตั้งใจฟังเทศน์จบหนึ่ง ใจอาจจะลอยไปบ้าง อะไรบ้าง ขณะที่ตั้งใจอยู่ทั้งหมด "ขณะใดที่ตั้งใจทำความดีอยู่ ขณะนั้นจิตว่างจากกิเลส"...เห็นไหม! มันว่าง มันได้ตรงนี้ตะหากล่ะ จะเสือกไปเอาเหาะได้...เหาะได้มันไม่ยาก...!

ที่แรกก็หัดเหาะลงก่อน ขึ้นยอดต้นตาล เอาย่อมๆนะ พอเหาะลงได้ก็เหาะขึ้นได้ พอเป็นผีแล้วเหาะขึ้นได้เลย (หัวเราะ) อย่าไปขึ้นยอดหลังคา ไม่แน่ บางทีมันแค่ขาหัก เอาขึ้นยอดต้นตาล สูง เหาะลงปุ๊บ ตายโหงปั๊บ! พอเป็นผีก็เหาะได้ เหาะขึ้นได้ อยากเหาะลงไหม ใครจะไปเหาะก็เอานะ!...

"ไอ้นี่ความจริงความดีของการทำความดีทุกขณะมันเกิดผล"...จิตที่ว่างจากกิเลสนิดหนึ่ง ชั่ว 2-3 นาที 1 นาที 2 นาที 3 นาที ก็ตามนะ บางทีถ้าเขาเทศน์ถูกใจฟังเพลินๆอาจจะถึง 5 นาที 10 นาที จิตมันจะแวบออกไปนิดหนึ่งใช่ไหม บางครั้งที่เราตั้งใจบูชาพระ อาจจะดีจริงๆ จิตว่างจริงๆ สักนาทีสองนาที อีตอนว่างนิดหนึ่งต้องถือว่าดี   ต้องดูพระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า...

"สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดมีจิตว่างจากกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง วันหนึ่งนะเอาชั่วขณะจิตเดียว แวบเดียว เรากล่าวว่าบุคคลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาณ"...

แล้วก็อีตรงที่จิตเรามีกำลังดีสูงขนาดไหนก็ตาม มันแวบเดียว อย่าลืมว่าฝ่ายจด เขาจะจดที่จุดนั้นนะ...อย่างที่นั่งกรรมฐานวันหนึ่งชั่วโมงหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งนี่เอาเรื่องไม่ได้เลย มันก็ดี แต่ว่าดีเล็กๆน้อยๆ ศรัทธามี ตัวศรัทธามันดีแล้วใช่ไหม ทำไปจิตก็วอกแวกๆ ส่ายไปโน่น ส่ายมานี่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง "แต่ว่าอีตอนดีนิดเดียว คือจิตว่างจากกิเลส เขาจดตอนนั้นทันที"...ถ้าจิตถึงที่สุด ถึงปฐมฌาณ สอง สาม สี่ ฌาณไหนก็ตาม แวบเดียว แค่วินาทีเดียว เขาจดว่าคนนี้มีอารมณ์ถึงฌาณสี่ หรือฌาณหนึ่ง ฌาณสอง ฌาณสาม ฉันรู้เพราะอะไร ฉันรู้เพราะฉันถามเขาเรื่อย...เมื่อก่อนนี้พอเจริญกรรมฐานปั๊บ เราก็ดูนายบัญชี นายบัญชีขึ้นมา ถ้านุ่งแดงใส่แดงธรรมดา พระภูมิเทวดา การเจริญกรรมฐานชุดนี้ไม่มีหรอก เท่าที่เจริญกรรมฐานมา มาต้องแพรวพราวระยับ ชุดธรรมดานี่ไม่มี ชุดธรรมดานี่เขาจดทั่วๆไป นี่เราเทียบกันว่า ชุดธรรมดามาล่ะก็ วันนี้หาคนดีไม่ได้ มีก็ขี้หมาเหลือเกินนิดเดียว ใช่ไหม?...

แต่ว่าตั้งแต่ฉันสอนกรรมฐานมา นายบัญชีชุดแดงธรรมดา หรือภูมิเทวดานี่ไม่มี มาทีไรก็แต่งตัวแพรวพรึบเต็มตัวเลย ขั้นมหาอำมาตย์ ถ้าพวกนี้มาเขามุ่งจุดดีสูง เขาดูตามขั้นของคนนะ...มาวันหนึ่งฉันก็บันทึก บันทึกเสร็จก็ ...คนอย่างซอยสายลม มันน้อยเมื่อไร ซอยสายลมต้องรุ่นใหญ่นะ ใหญ่จริงๆ ไม่งั้น พระยายม มาเอง ข้างบนก็ลงมาเองขนาดหนัก อย่าง ปัญจสิกขะ ก็ดี ท้าวมหาชมภู ก็ดี ท่านคุมบัญชีใหญ่ฝ่ายสูง แล้วท่านมาถามว่าจดตรงไหน จดตรงดี เลยถามว่าวันนี้ใครมันดีขนาดไหน?...ท่านก็บอกไปนั่งที่ไหนมันไม่มีความหมายหรอก ยิ่งนั่งแอบ นี่เห็นชัด ไอ้คนแอบๆน่ะ  ไอ้แอบนี่ชัดมาก "คือเขาดูจิต ความเคลื่อนไหวของจิตนี่ เดี๋ยวเขาจะบันทึกตามนั้น"...ถามว่าเขาได้นิดเดียววันหนึ่ง มาวันหนึ่งนี่มันกี่ชั่วโมงก็ตาม แต่มันได้ช่วง 3 นาที 5 นาที นี่มันมีความหมายหรือ...ท่านบอกเขาต้องได้รับผลแน่นอน คนนั้นต้องได้รับผลอันนี้แน่นอน นั่นหมายความว่าถ้าตายลงไป สร้างบาปจิตเป็นอกุศล ลงนรกไปเลยใช่ไหม ลงก็ลงไป แต่บัญชีนี้ยังอยู่ ความดีของเขายังอยู่ ขึ้นมาจากนรกเมื่อไร ต้องมารับผลความดีนี้แน่นอน...ถ้าบังเอิญก่อนจะตาย เสือกลืมบาปใช่ไหม ไปนึกถึงบุญนิดเดียว ไปเกาะไอ้นี่มัน ไปทันทีเหมือนกัน นี่มันของไม่ยาก อ่านหนังสือยากแล้วไม่เข้าใจ นี่เราเจอะตัวจริงๆ เราเจอะความจริงกัน คือว่าหนังสือท่านอาจจะเขียน อาจจะมีที่ไหนก็ไม่ว่า แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกว่า...

"ให้ลืมความชั่วทุกอย่าง ที่ทำมาแล้วทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าความชั่วทุกอย่าง จงอย่ามีมันเลย อย่านึกถึงมันเลย นึกถึงความดีด้านเดียว"...

ทีนี้ไอ้ความชั่วมันจะตามไม่ทัน จิตนี่มันรับอารมณ์ๆเดียว อย่างคนไหนถ้าเรารัก คนนั้นดีทุกอย่าง ต้องตัดก่อน แล้วไม่นึกถึงความชั่วเลย จะศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เคยทำลายมาแล้ว ไม่ต้องนึกถึงมัน วันนี้ฉันเอาดีอย่างเดียว ฉันมีดีเท่านั้น นึกเลยว่าฉันมีแต่ความดี ไม่มีความเลว นึกตัวนี้ตัวเดียวนะ ปัจจุบันเราดี วันนี้เราดีอะไรบ้าง...เราสมาทานศีลแล้ว ศีล 5 เรามี สมาทานศีล 8 วันนี้ เรามีศีล 8 เริ่มทำสมาธิ วันนี้อารมณ์ฉันเป็นฌาณ อย่างเลวที่สุดฉันไปพรหม พวกได้ฌาณนี่ต้องไปพรหม..."ถ้าเรามุ่งตัดขันธ์ 5 คิดว่ามนุษย์โลกไม่ดี เทวโลก พรหมโลกไม่ดี เราต้องการนิพพาน"...นี่อารมณ์นิพพานของเรา เราต้องการนิพพาน จับอย่าจับต่ำให้จับสูง...เอาไว้ติดตามในตอนที่ 2 ดีกว่า...กลัวจะเบื่ออ่านกันเปล่าๆ...!!!

ที่มา : หนังสือรวมคำสอน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น