จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

"ผีมีจริง" หรือเปล่า?...คำถามโลกแตกที่มีมาช้านาน (ตอนที่ 2) !!!

          มีใครได้อ่านตอนที่ 1 ไปแล้วบ้าง...ถ้าไม่เคยอ่านมาก่อนเดี๋ยวจะอ่านตอนที่ 2 ไม่รู้เรื่องนะจ๊ะ จะบอกให้...ก่อนจะเข้าเรื่องในตอนที่ 2 ผู้เขียนขออารัมภบทตามสไตล์คนช่างพูดสักเล็กน้อย เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมผู้หลักผู้ใหญ่ คนสมัยโบราณมักจะหลอกลูกเด็กเล็กแดงเกี่ยวกับเรื่องผีสาง ตอนเป็นเด็กเราก็กลัวซิ...ใช่ป่ะ พอตกกลางคืนเอาแล้ว เรื่องผีผี...เริ่มเข้ามาวนเวียนในสมอง ความมืด ความเงียบ มันทำให้สมองของเด็กมันเกิดการจินตนาการไปได้มากมาย ผีต้องมีรูปร่างหน้าตาแบบนั้น หรือแบบนี้ สร้างมโนภาพขึ้นมา สุดท้ายก็ฝังใจ...ส่วนหนึ่งไม่มากก็น้อยล่ะ คงเกิดจากที่เด็กกำลังอยู่ในวัยที่ซุกซน เดินไปโน่นไปนี่คนที่เป็นผู้ใหญ่ก็เหนื่อยที่จะตามหรือไม่ก็...เด็กตัวเล็กๆก็มักจะร้องไห้ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ในตอนนั้นคงจะนึกได้มุกเดียว คือ "อย่าเดินไปตรงนั้นนะ เดี๋ยวผีมาจับตัวไปหรอก"...หรือไม่ก็พูดว่า "อย่าร้องนะ เดี๋ยวผีได้ยินจะมาจับตัวไป"...แล้วก็ทำหน้าขึงขังให้ดูน่าหวาดกลัว ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นเด็ก กอปรกับเห็นทั้งสีหน้า แววตา ได้ยินน้ำเสียงที่ฟังแล้วน่าหวาดหวั่นของผู้พูด เมื่อเด็กเริ่มกลัว ก็จะวิ่งกลับมา...มีมั้ยเมื่อตอนเป็นเด็กใครเคยเจอแบบนี้บ้าง...มุกแบบนี้ สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งมาสู่อีกรุ่นหนึ่งได้อย่างง่ายดายเพราะมันได้ผล สามารถกำราบเด็กดื้อเด็กซนได้เป็นอย่างดี...สรุปแล้วความสงสัยนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไปซินะ เพราะที่จริงแล้วไม่สามารถรู้ที่มาที่ไปว่ามันเกิดขึ้นมาจากที่ไหนและเพราะอะไร...เอาเป็นว่าใช้ได้ผล ก็น่าจะเพียงพอ...เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...

ย้อนความเดิมจากตอนที่ 1 สักเล็กน้อย...ในตอนนั้นจิตมันตื่นขึ้นเพราะรู้สึกว่ามีใครสักคนจ้องมาที่เราโดยการเดินเข้ามาหาแล้วก็วน ในจังหวะหนึ่งนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไร ขนของผมก็ลุกไปทั้งตัวแล้วก็ขยับร่างกายอะไรไม่ได้...แน่นอน ผมอายุปูนนี้แล้ว คิดออก...กูโดนเข้าแล้ว!!!!...ผีอำแน่ๆ...ไม่คิดอะไรมาก ว่าคาถาชินบัญชรใส่เลยงั้น...แปบเดียวผีโดดหนีทะลุกำแพงไปเลย...พอตอนเช้าก็มานั่งคิด แล้วอยู่ดีๆก็นึกได้ว่า ทำไมเราถึงไปสวดคาถาเพื่อไล่เขาล่ะ สมองคิดไปเรื่อยเลยนะ ผีพวกนี้คงเดือดร้อนเขาคงไม่มาร้ายมั้ง...สมองมันคิดไม่หยุด..แต่ก็ยังหาบทสรุปไม่ได้ สิ่งที่คิดมันเหมือนกับแสร้งว่า "ใจดีสู้เสือ" คล้ายๆจะปลอบใจตัวเอง อะไรประมาณนั้น...แล้วความคิดเรื่องนี้ก็ดับลงไปได้หลายวัน จนเกือบจะถึงวันโกนของสัปดาห์ถัดไป "ใกล้ถึงวันโกนวันพระอีกแล้วซินะ" ผมเริ่มรำพึงรำพันกับตัวเองอีกครั้ง ตอนนั้นรู้สึกหวั่นไหวพอสมควร มันมีความคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าคงต้องโดนในแบบที่เคยโดนอีกแน่..."แล้วเราจะทำไง?"...ในระหว่างนี้สมองมันก็คิดอะไรของมันไปเรื่อยจนในที่สุดมันมาหยุดที่การ "แผ่เมตตา"...อื้อหือ!...ใช่แล้ว ไม่ลองไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็น...ความคิดนี้มันเข้ามาเร็วปานสายฟ้าแลบ! พรึบเดียว สว่างโพลงเลย...สัพเพสัตตา...สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุก เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น....ฯลฯ"...



และแล้วก็มาถึง...คืนนั้นเป็นคืนวันโกน!...ผมก็ปฏิบัติตัวไปตามปกติ คือ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ แล้วก็นอน หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้วกะคร่าวๆ ประมาณ ตี3 กว่า...ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครที่ผมไม่รู้จักอยู่ในห้องด้วย ตอนนั้นมันครึ่งหลับครึ่งตื่น แน่นอนผมรู้เลยว่าอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับผม...แล้วก็จริงๆ!...ความรู้สึกมันรวดเร็วมาก ขนตามตัวลุกชัน ตั้งแต่ปลายขาจนถึงหนังหัวนั่นแหละ จากนั้นตัวก็เริ่มชา กระดุกกระดิกไม่ได้...มาแล้ว!...ผมคิดเอาเอง นี่คงเป็นวิธีที่ดวงวิญญาณที่อยู่ในโลกทิพย์เขาต้องการสื่อสารกับคนซึ่งอยู่ต่างภพภูมิกัน อยู่ดีดีจะให้เดินดุ่มๆเข้ามาคุยกันแบบหน้าตาเฉย คงจะเป็นไปไม่ได้...ผมไม่รอช้า เพราะตอนนั้นผมมีสติสมบูรณ์ ความกลัวผีไม่มี เพียงแต่ตามันลืมไม่ขึ้น ผมกำหนดจิตของตัวเอง ท่องในใจเริ่มตั้งแต่...สัพเพสัตตา ไล่ไปเรื่อย ในแบบที่ผมคุ้นเคย...พอจบท่อนสุดท้ายตรงที่ว่า...สุขีอัตตตานังปริหะรันตุ...จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นนี้เทอญ...พอสิ้นคำว่าเทอญ..ผมได้ยินเสียง  ซู่ ๆๆ...ประมาณ 3 ครั้ง จิตผมมันบอกกับผมว่า สิ่งที่ผมทำไปถูกต้องแล้ว ดวงวิญญาณดวงนั้นเขาได้รับผลบุญที่ผมแผ่ให้เขา เขาเป็นสุขแล้ว....จากนั้นอีกไม่นาน ผมสามารถลืมตาได้ ลุกจากที่นอน เปิดไฟดูนาฬิกา ก็เป็นเวลาที่ผมได้บอกไปในตอนแรก จากนั้นเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมานอนต่อจนถึงเช้า...

ความรู้สึกในตอนเช้าเมื่อผมลองลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง...ผมจำได้ทุกขั้นตอน เพราะผมมีสติอยู่ครบสมบูรณ์...ความสุขใจมันเกิดขึ้นกับผม มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ รู้แต่ว่าการที่ผมได้ช่วยให้เพื่อนต่างภพภูมิเขารู้สึกมีความสุขได้ ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย...นั่นคือความรู้สึกในเช้าวันนั้น...สำหรับในคืนวันพระที่ถัดมาจากคืนวันโกนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น...จนมาถึงวันพระของสัปดาห์ถัดไป...ผมผ่านในคืนวันโกนมาได้แบบชิล ชิล คงเหลือในคืนวันพระอีก 1 คืนสำหรับสัปดาห์นี้... สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิเสร็จ ก็เข้านอน...คราวนี้จำเวลาไม่ได้ แต่ก็คงไม่แตกต่างจากคราวที่แล้วมากนัก เพราะหลังจากเหตุการณ์เป็นปกติผมไม่ได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ เพราะมีความสุขที่จะได้นอนต่อ...คืนนั้นความรู้สึกตัวก็เกิดขึ้นเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าคือ ผมเห็นรูปร่างหน้าตาของเด็กสาว ใส่เสื้อสีขาว เดินขึ้นบันไดแล้วตรงมาที่ผม...เท่านั้น ขนทั้งตัวก็ลุกชัน ขยับแขนขาไม่ได้...กำหนดจิตว่า สัพเพ...ทันที พอว่าจบ เธอผู้นั้นได้รับเป็นที่สบายใจแล้ว เธอก็ไป...ความเคยชิน เริ่มเข้าครอบงำผมเสียแล้ว...คราวนี้เป็นคืนวันโกนของอีกประมาณ 7 วันถัดมา...สเต็ปเดิม ลีลาเดิม...ผมก็ว่าแบบเดิมๆ คือ สัพเพ....เรื่อยไป...แต่ดวงจิตนี้แปลกกว่าชาวบ้านที่เคยมาเยี่ยมผม...ตรงที่จบแล้วยังไม่ยอมไป...ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขานะ...ผมยิ้มให้กับความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังนั่งทับผมอยู่...ผมพูดกับเขาไปประโยคหนึ่ง..."ไปได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอพักผ่อน"...เชื่อมั้ย เพียงผมพูดเท่านั้น เขาลุกพรึบเดียวหายไปเลย...เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจว่า "เฮ้ย!...คุยกันรู้เรื่อง"...และที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นครั้งที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดสำหรับผม...เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนๆกับในทุกครั้งนั่นแหละ แต่มันมีที่น่าอัศจรรย์ใจตรงที่ว่า ผมท่อง สัพเพ ไปได้นิดเดียว...ผมกลับได้ยินเสียง ใครก็ไม่รู้จำนวนมากมาย มาจากทุกทิศทุกทาง ท่องสัพเพ สัตตา เหมือนกับผม ประสานเสียงกันได้ไพเราะแบบที่ผมไม่เคยได้ยินความไพเราะแบบนี้มาก่อน...ผมหยุดท่อง เอียงหูฟังเสียงนั้นตลอด ผมมีความสุขแบบบอกไม่ถูกเลยในตอนนั้น...เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไป จนมาถึงวันนี้ผมไม่เคยลืม แม้ในระยะหลัง ดวงวิญญาณต่างๆอาจห่างหาย ไม่ได้มาเยี่ยมผมเหมือนในครั้งกระนั้น อาจจะเป็นเพราะการปฏิบัติของผมเกิดความหย่อนยานก็เป็นได้...และนี่แหละ...ที่เป็นคำตอบให้กับผมโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกว่า..."โลกแห่งวิญญาณ หรือ ผี ซึ่งอยู่ต่างภพกับมนุษย์...มีจริงหรือไม่?"...เมื่อทุกท่านได้อ่านเรื่องราวทั้ง 2 ตอนมาแล้ว ลองพิจารณาตามไปนะครับ...แล้วลองค้นคว้าหาคำตอบให้กับตัวคุณเอง...เปรียบไปแล้วเหมือนคุณเป็นเศรษฐีผู้ใจดี คนตกทุกข์ได้ยากเขารู้ว่าคุณต้องช่วยเขาได้ เขาจึงดั้นด้น หาโอกาสมาพบคุณ มาขอพึ่งพา แล้วคุณก็ได้ช่วยเขา...แต่หากคุณเป็นคนยากจนเข็ญใจ จะมีคนตกทุกข์ได้ยากที่ไหน เขาจะดั้นด้นมาพบคุณ...มันเสียเวลาเปล่า..."บุญ" ใครทำใครได้นะครับ...แล้วอย่าลืมแผ่ออกไปไม่มีประมาณ...เพราะมีดวงวิญญาณอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งน่าสงสาร เขาไม่มีโอกาสได้สร้างบุญ...ซึ่งแตกต่างจากพวกเราทั้งหลาย...ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป นะท่าน...!!!

นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story

2 ความคิดเห็น: