จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

บำเพ็ญบุญ...พระกรรมฐาน...อานิสงส์ไม่มีประมาณ...!!!

เมื่อปี พ.ศ. 2504 หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านได้ไปเทศน์ที่ิอำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีตาอะไรสักคน เมื่อเวลาที่หลวงพ่อท่านไปอยู่ที่กรุงเทพ น่าจะหมายถึงที่ซอยสายลม ตาคนนี้ก็จะมาอยู่ด้วยตลอด ถ้าหลวงพ่อท่านยังอยู่ ตาคนนี้ก็ยังอยู่ประมาณนั้น...ตอนเช้าแกก็เอาข้าวต้ม เวลาเพลก็ข้าวสวย โดยให้ลูกสาวของแกมาเป็นคนถวายให้หลวงพ่อ แต่แกก็มาอยู่ด้วยทุกครั้ง

หลวงพ่อท่านเล่าว่า...ครั้นเมื่อตาคนนี้ตายไปแล้ว ลูกสาวก็มาหาหลวงพ่อที่กรุงเทพ บอกว่าอยากจะทำศพพ่อ และบวชน้องชายในวันเดียวกัน โดยอยากจะให้หลวงพ่อท่านเป็นประธาน...หลวงพ่อท่านก็เลยบอกไปว่า จะเป็นประธานให้ก็ได้ แต่ในงานนั้นห้ามมีการทำบาปแม้แต่นิดเดียว จะเป็นไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ!...หลวงพ่อท่านอธิบายในข้อนี้ว่า ถึงแม้ใครๆเขาจะบอกว่าไข่ไม่มีตัว แต่ยังไงเสียใจมันก็ไม่สบาย...แล้วในเวลางานให้จัดหาคนมาต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแทนตัวเองซะ จะได้ไม่มีความกังวล เมื่อเวลาที่พระให้ศีล ต้องรับศีลให้จบ และต้องตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพ ตอนพระสวดก็ต้องตั้งใจฟังด้วยความเคารพ รวมถึงเมื่อเวลาถวายทานก็เช่นเดียวกัน...เธอผู้นั้นก็รับปากหลวงพ่อ และเมื่อถึงวันงาน ทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนที่ได้รับปากกับหลวงพ่อไว้ ตอนเช้าบวชน้องชาย ตอนสายก็ชักศพขึ้นศาลา ตอนเพลเลี้ยงพระ 30 กว่าองค์ ก็เลยเป็นสังฆทาน แล้วก็เป็นสังฆทานเต็มอัตรา มีการถวายผ้าสบง ผ้าไตรจีวร....

ในขณะที่พระรูปหนึ่งกำลังเทศนาให้ญาติโยมได้ฟังอยู่นั้น หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านก็นึกถึงผู้ตายขึ้นมา ภาพที่ผู้ตายเป็นคนดี เหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่ยุ่งไม่เอา แต่ก็เป็นในระยะ 10 ปีสุดท้ายก่อนที่จะตายลง สำหรับก่อนหน้านั้น หลวงพ่อท่านก็เปรียบให้ฟังว่า..."เหมือนโจรกลับใจ"...หลวงพ่อท่านก็พยายามที่จะมองหาดวงจิตของผู้ตาย ก็ไม่เห็นจะมาในงาน ท่านก็เลยนึกไปถึง ท้าวมหาราช ก็เลยถามไปว่า บัดนี้ดวงจิตของผู้ตายไปอยู่เสียที่ไหน ...ท้าวมหาราชจึงให้ลูกน้องไปตามมา...หลวงพ่อท่านได้อธิบายเสริมให้ว่า ดวงจิตของผู้ตายอาจจะกำลังเสวยทุกขเวทนาอยู่ การที่ไปเรียกเขาเฉยๆคงไม่ได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์ ...เมื่อผ่านไปสักครู่ลูกน้องของท่านท้าวมหาราชก็ได้นำดวงจิตของผู้ตายมา...ดวงจิตมีหน้าตาที่เศร้าหมอง เต็มไปด้วยความทุกข์ มานั่งข้างธรรมาสน์ เรียกยังไงก็ไม่เงยหน้า นั่งเฉย...

หลวงพ่อท่านจึงเอ่ยถามคนที่คุมมาว่า "ทำไมเป็นอย่างนี้?"...
มีเสียงตอบกลับมาว่า "กรรมมันหนักครับ"...
หลวงพ่อท่านถามต่อ "คนนี้เขาตัดสินแล้วหรือยังล่ะ?"...
"ยังครับ"...ยังรอการตัดสิน

หลวงพ่อท่านก็อธิบายเสริมอีกว่า ถ้าเขาตัดสินแล้ว เราไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน ถ้าลงขุมไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์ รอการตัดสินในเมืองนั้น 50 ปี ของเรา เท่ากับ 1 วันของเขา...แกพึ่งตายไปไม่นาน เดิมแก่ชั่วจริง แต่ปลายมือแกดี ชั่วกับดีมันก้ำกึ่งกัน จะลงนรก หรือขึ้นสวรรค์เลยทีเดียวไม่ได้ ต้องสอบสวนก่อน
คนที่คุมแกมา เอ่ยถามหลวงพ่อขึ้น "วันนี้ลูกสาวทำอะไรให้บ้างครับ?"...
หลวงพ่อท่านตอบกลับไปว่า "มีบวชน้องชาย ถวายสังฆทาน เลี้ยงพระบังสกุลเสร็จเรียบร้อย บุญใหญ่ทั้งหมด...ทำไมโมทนาไม่ได้?"...หลวงพ่อท่านถามกลับ
เขาตอบมาว่า "ไม่มีสิทธิ์โมทนา...เพราะกรรมหนัก!"...
"ต้องทำบุญอะไรเล่า...เขาถึงจะได้?"...หลวงพ่อท่านถามต่อ
หลวงพ่อท่านเล่าว่า เมื่อถามจบ ผู้คุมก็ชี้มือมาที่หลวงพ่อ เขาบอกว่า "บุญพระกรรมฐานของท่าน...ช่วยได้!"...หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "งั้นดีเลย"...."บุญที่เขาทำมาก่อน กับบุญในเวลานี้ จะรวมตัวกันหรือไม่?"...เขาตอบว่า "รวมตัวครับ"...

หลวงพ่อท่านก็เลยตั้งจิตอธิษฐานว่าดังนี้..."เอ้า!...นายกิ่ม (ชื่อผู้ตาย) ตั้งใจฟัง!...บุญใดที่ฉันเคยบำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ผลบุญทั้งหมดที่ฉันทำมา จะให้ประโยชน์แก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนารับผลบุญเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"...เท่านั้นล่ะ โซ่ที่คล้องมือ คล้องคอตั้งแต่แรก หลุดออกเองโดยไม่มีใครไปปลด ตากิ่มก้มกราบหลวงพ่อ พอกราบครั้งที่ 3 เงยหน้าขึ้นมา...สวยอร่ามเป็นเทวดาเลย เพราะเป็นบุญที่ลูกสาวของแกกำลังทำให้ บวกกับบุญเก่าของแกเอง เข้ามารวมตัวกัน หลวงพ่อท่านบอกว่า เมื่อได้บุญอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าไป บุญก็รวมตัวกันหมด...

เจ้าคนที่คุมตากิ่มเมื่อเห็นดังนั้น ก็เลยเอ่ยปากบอกกับหลวงพ่อว่า..."ท่านครับ!...ผมก็อยากได้เหมือนกัน"...หลวงพ่อท่านก็เลยเย้าว่า..."แกเป็นผู้คุม...แกสบายแล้ว"...
"ผมไม่สบายหรอกครับ ต้องทำงานไม่มีวันหยุด เหน็ดเหนื่อยเรื่อยๆ"...ผู้คุมกราบเรียนหลวงพ่อ
"พระยายมจะไม่เล่นงานข้าหรือ?"...หลวงพ่อถาม
"ไม่หรอกครับ...ผมมีสิทธิ์ครับ"...เขาตอบ
ถ้ามีสิทธิ์!...ก็เอา หลวงพ่อท่านบอกให้ตั้งใจโมทนา...หลังจากโมทนาจบ ก็สวยเช๊ง เป็นเทวดา เหมือนตากิ่ม...



หลวงพ่อท่านจึงสรุปให้ฟังว่า "อานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราจะทำบุญให้แก่คนตาย อันนี้มีประโยชน์มาก ประโยชน์ที่จะได้แก่คนตาย ก็หมายถึงว่า ประโยชน์นั้นมันจะต้องถึงเราก่อน ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉยๆ เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ...นี่แหละเรื่องของบุญ...!!!"

ที่มา : หนังสือรวมคำสอน...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
นำเสนอโดย :
http://dharmaishere.blogspot.com
https://www.facebook.com/kanlakraung1.sport
https://www.facebook.com/kanlakraung1.story




0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น